‘ประธานสภาผู้แทนราษฎร’ ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรง ทั้งพรรค ‘ก้าวไกล’ และพรรค ‘เพื่อไทย’ ต่างก็แสดงความประสงค์จะให้ตัวแทนของพรรคตัวเองได้นั่งในตำแหน่งดังกล่าว
เป็นประเด็นร้อนแรงจนกระทั่งพรรคก้าวไกล ซึ่งได้ ส.ส.ในการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 เป็นจำนวน 151 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ ส.ส. 141 ที่นั่ง ต่างก็ออกมาแถลงจุดยืนของตน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ละพรรคมองอย่างไร? The MATTER สรุปไว้ให้ดังนี้
พรรคก้าวไกล ต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ เพื่อผลักดันวาระต่างๆ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงต่อสื่อมวลชน ถึงความคืบหน้าการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล และชี้แจงข้อสงสัยเรื่องนโยบายก้าวไกล โดยมีส่วนหนึ่งอธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องมีตำแหน่งประธานสภาฯ ไว้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งก็คือ เพื่อผลักดันวาระต่างๆ
วาระหนึ่งคือ ผลักดันกฎหมายทั้ง 45 ฉบับของพรรค เพื่อทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ รวมถึงกฎหมายของพรรคการเมืองอื่น หรือกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนด้วย “ที่ผ่านมา 4 ปี เราน่าจะเห็นแล้วว่า ตำแหน่งของประธานสภาฯ มีความสำคัญมากแค่ไหนในการที่จะอำนวยความสะดวกหรือขัดขวางการออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชน เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีตรงนี้”
ต่อมา คือ เพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยให้เดินหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเห็นตรงกัน และถูกบรรจุไว้ใน MOU ทั้งนี้ ศิริกัญญาอธิบายว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะปูทางไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะมาจากการร่างของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง
“ถ้าจะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงต้องมีการประชุมรัฐสภาอีกหลายครั้ง จำเป็นที่จะต้องมีประธานรัฐสภาที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ อยากที่จะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราจึงจะสามารถที่จะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้” รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลอธิบาย
วาระต่อมาที่ทำให้พรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่งประธานสภาฯ คือ ผลักดันให้เกิดรัฐสภาที่โปร่งใส และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การถ่ายทอดสดทั้งในการประชุมสภาฯ การประชุมกรรมาธิการ และการประชุมอนุกรรมาธิการ
อีกประเด็นหนึ่ง คือ ส่งเสริมการทำงานของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (Parliamentary Budget Office หรือ PBO) ซึ่งศิริกัญญามองว่า “เป็นแขนขาที่สำคัญสำหรับฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล”
และวาระสุดท้าย คือ ผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาเยาวชน ที่จะขึ้นตรงกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อ “รับฟังเสียงของเยาวชน ที่อาจจะยังไม่มีสิทธิในการเลือกตั้งในปัจจุบัน แต่เสียงของพวกเขาก็มีควรามสำคัญ และจำเป็นที่จะต้องจัดตั้ง และมีที่ทาง เพื่อให้เขาได้แสดงออก”
พรรคเพื่อไทย: “เราชนะมาด้วยกัน ก็ควรทำงานร่วมกัน”
ในพรรคเพื่อไทยเอง สมาชิกพรรคแต่ละคนก็มีความเห็นที่หลากหลายต่อประเด็นดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พรรคเพื่อไทยได้ทวีตแถลงการณ์ และโพสต์บนเฟซบุ๊กในวันต่อมา หัวข้อ ‘ประธานสภา ของประชาชนทุกคน’ ชี้แจงถึงประเด็นนี้
พรรคเพื่อไทยเริ่มด้วยการแถลงว่า “‘ประธานสภา’ ควรเปิดทางผลักดัน ‘ทุกนโยบาย’ ของ ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ให้สำเร็จ ไม่ใช่ผลักดันวาระของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็น ‘รัฐบาลผสม’ มีภารกิจสำคัญใน MOU ร่วมกัน ไม่ว่าประธานสภาจะเป็นใคร มาจากพรรคใด ก็ต้องทำภารกิจร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย”
พรรคเพื่อไทยชี้แจงด้วยว่า “ประธานสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง โดยเป็นประธานของ ส.ส.ทั้งสภา ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล”
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้อ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 ซึ่งระบุว่า “ประธานและรองประธานสภาผู้แทนจะเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองในเวลาเดียวกันไม่ได้” และมาตรา 119 “ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และผู้ทำหน้าที่แทน ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่”
“ประธานสภาจึงต้องผลักดันญัตติใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือประชาชนเข้าสู่สภา ไม่เลือกปฏิบัติ และหาทางลดอุปสรรคทั้งหลาย ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา” พรรคเพื่อไทยระบุ
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังอธิบายถึง ‘ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น’ ในวงการเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ระบุว่า ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า “การจัดสรรตำแหน่งจะคำนึงถึงความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก”
ก่อนจะตอบโต้ถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าในอดีต พรรคเพื่อไทยได้ทั้งตำแหน่งนายกฯ และประธานสภาฯ ว่า “หากจะยกกรณีที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ชนะโหวตทั้งนายกฯ และประธานสภามาโดยตลอด ไม่มีพรรคอันดับสองได้ นั่นเป็นเพราะเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเด็ดขาด ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฏร จึงชนะโหวตด้วยเสียงของ ส.ส.และผู้สนับสนุน”
“ในกรณีนี้ เราชนะมาด้วยกัน ก็ควรทำงานร่วมกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะพรรรคร่วมรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะใช้มวลชนกดดัน แต่ควรหาทางทำภารกิจเพื่อประชาชนร่วมกันให้สำเร็จ ประเทศจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด” ข้อสรุปของพรรคเพื่อไทย
พิธาชี้ เรื่องประธานสภาฯ “เล็กมากถ้าเทียบกับภารกิจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจ”
ล่าสุด เวลา 12.15 น. วันที่ 26 พฤษภาคม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล ได้ทวีตถึงประเด็นนี้ โดยระบุว่า “เป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่เล็กมากถ้าหากเทียบกับภารกิจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พวกเรามา”
เขาจึงขอให้พรรคร่วมรัฐบาลต้อง “จับมือเกี่ยวแขนกันไว้ให้มั่นคง” เพื่อยุติการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร และพาประเทศไทยให้กลับสู่ประชาธิปไตย
พิธาชี้ว่า พวกเราต่างก็รับทราบวิธีคิด หลักการ เหตุผล ของทุกฝ่ายชัดเจนแจ่มแจ้งในประเด็นนี้กันแล้ว จึงขอให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับไปพูดคุยกันผ่านตัวแทนในวงเจรจาแทน และตอนนี้ ขอให้ทุกพรรคทำงานปรับจูนนโยบายร่วมกัน เพื่อตั้งรัฐบาลให้สำเร็จตามที่ประชาชนคาดหวัง
ประธานสภาผู้แทนราษฎรสำคัญยังไง? ชวนดูอำนาจ ‘ผู้คุมเกม’ ในรัฐสภา: thematter.co
อ้างอิงจาก