ถัดมาที่ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงประเด็นการพักหนี้เกษตรกรว่า
“เราจะเดินหน้าพักหนี้ของเกษตรกร 3 ปี และเราเชื่อว่าในไตรมาสนี้เราสามารถจะพักหนี้ได้ ซึ่งการแก้ไขหนี้ปัญหาเกษตรที่ผ่านมาแล้วถึง 13 ครั้ง ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาให้เกษตรเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และในขณะนี้หนี้ทั้งภาคเกษตรและประชาชนมีอัตราที่สูง ดังนั้น นโยบายนี้ถือเป็นการต่อชีวิตให้กับพวกเขา”
อย่างไรก็ดี เขาระบุต่อว่า กระบวนการของนโยบายนี้เราจะคัดกรองกลุ่มเกษตรก่อน นอกจากนี้ เราจะส่งเสริมโครงการให้พวกเขาสามารถลดภาระหนี้เงินต้นและเพิ่มรายได้ได้ด้วยวิธีอย่างปลูกพืชที่มีมูลค่ามากขึ้น และเราย้ำว่าเราจะเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้ได้ เพื่อให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง
แม้ว่าเราจะพบกับปัญหาเอลนีโญที่ทำให้กระทบกับภาคเกษตรกรรมทั่วโลก แต่มันก็ถือเป็นโอกาสของเราเนื่องจากถ้าเราสามารถทำให้ภาคการเกษตรแข็งแกร่งก็จะส่งผลให้ผลผลิตของพวกเขามีมูลค่าที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้เราจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและวิธีการในการช่วยเหลือภาคเกษตรกรรมอย่างเต็มที่
“เราต้องการให้พี่น้องเกษตรกลับมาเป็นฟันเฟืองทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่งและสามารถที่จะมีรายได้พอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้”
นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงหนี้ของผู้ค้ารายย่อย ข้าราชการ และหนี้นอกระบบว่า “เราจะแก้ไขให้หนี้ของพี่น้องประชาชนเหล่านี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบและช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขา” และประเด็นสุดท้ายคือ สวัสดิการโดยรัฐ ซึ่งเขาระบุว่า “เราคำนึงถึงงบประมาณที่จะใช้เพื่อดำเนินนโยบายของเราอยู่แล้ว”
เขาเสริมว่า “รายได้ของเราในการจัดเก็บภาษีไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถจะทำสวัสดิการถ้วนหน้าได้จริงๆ” เพราะงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้รัฐบาลจำเป็นต้องเก็บภาษีมากขึ้น เราจึงเน้นที่จะดำเนินการด้านสวัสดิการแก่ประชาชนตามกรอบการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
“ดังนั้น ผมขอถามกลับว่าสมาชิกทุกท่านว่า รัฐบาลจะเอาเงินมาจากที่ไหนเพื่อให้ประเทศไทยเป็นรัฐสวัสดิการ? เราขอเน้นย้ำว่าเราต้องตระหนักถึงวินัยทางการเงิน การคลัง จึงจะตอบว่าเราไม่สามารถทำตามที่พวกท่านระบุได้ แต่เราจะทำเต็มความสามารถเพื่อทำให้ประชาชนคนไทยได้รับสวัสดิการมากที่สุด” จุลพันธ์กล่าวปิดท้าย
อ้างอิงจาก