หลังจากศาลฎีกาตัดสิทธิ ‘พรรณิการ์ วานิช’ อดีต สส.อนาคตใหม่ ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป คนในแวดวงวิชาการ สื่อมวลชน การเมือง หรือประชาชนบางส่วนก็อดไม่ได้ที่ออกมาตั้งคำถามถึง ‘มาตรฐานทางจริยธรรม’ ที่ถูกนำมาเป็นเหตุผลตัดสิทธิพรรณิการ์
กรณีนี้มีปัญหาตรงไหน? ในวันนี้ (21 กันยายน) The MATTER จึงได้พูดคุยกับ ‘มุนินทร์ พงศาปาน’ อดีตคณบดีและอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ‘เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง’อาจารย์ด้านกฎหมายมหาชน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อขอคำอธิบายถึงกรณีดังกล่าวนี้
ต้องเล่าก่อนว่า โพสต์ของพรรณิการ์ที่ศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิด คือโพสต์ในช่วงปี 2553 ก่อนที่จะมีการระบุถึงมาตรฐานทางจริยธรรมนี้ ซึ่งต่อมา ศาลก็ได้ตัดสินให้พรรณิการ์มีความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมข้อ 6 ที่ระบุไว้ว่า “ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพ แห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน”
1. มุมมองของ อ.มุนินทร์
กรณีนี้ อ.มุนินทร์ระบุว่าเป็นปัญหาใหญ่ทางกฎหมาย เพราะขัดกับหลักการพื้นฐานที่ว่า กฎหมายจะไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับบุคคล ซึ่งแม้ว่ากรณีของพรรณิการ์จะไม่ใช่คดีอาญา แต่นักกฎหมายหลายคนก็เคยให้ความเห็นเอาไว้ในช่วงยุบพรรคไทยรักไทย (ที่มีการประกาศกฎเกณฑ์ออกมาบังคับใช้ย้อนหลังเพื่อสั่งยุบพรรค) ว่าหลักการดังกล่าว ต้องใช้กับทุกๆ กฎหมายไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงกฎหมายอาญาเท่านั้น
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเหตุผลของศาลที่ระบุว่า การที่พรรณิการ์ไม่ลบโพสต์ออกทั้งที่สามารถทำได้ ก็ถือเป็นการ ‘งดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย’ อ.มุนินทร์ก็มองว่า เป็นความพยายามของศาลในการขยายขอบเขตการตีความข้อเท็จจริง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับบุคคล ซึ่งเป็นการปรับข้อเท็จจริงให้เข้ากันกับหลักกฎหมาย ที่อาจารย์เชื่อว่านักกฎหมายไม่เห็นด้วย
อ.มุนินทร์ยังย้ำอีกว่า จริงๆ ก็ไม่ควรจะผ่านหลักการไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษนี้ไปได้เลย แล้วถ้าดูเหตุผลที่พรรณิการ์คัดค้านว่าโพสต์นั้นเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะดำรงตำแหน่ง สส.ก็เป็นเหตุผลที่ฟังได้ และหลักไม่มีผลย้อนหลังก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าเขาไม่มีความผิด
ถ้าอย่างนั้นศาลใช้อะไรเป็นมาตรฐานในการตัดสินว่าผิดจริยธรรม?
อ.มุนินทร์อธิบายว่า คำว่า ‘จริยธรรม’ เป็นคำที่กำกวมอยู่แล้ว และผู้ร่างกฎหมายก็ต้องการให้คนที่ตัดสินมีดุลพินิจว่าการกระทำใดที่ผิดจริยธรรม แต่เมื่อมาตรฐานจริยธรรมนี้ส่งผลให้บุคคลใดต้องเสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งไป ซึ่งในกรณีของพรรณิการ์ก็รุนแรงถึงขั้นถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ไม่ควรจะบัญญัติเอาไว้อย่างคลุมเครือ
“จริงๆ แล้ว การมีบทบัญญัติประเภทนี้ [มาตรฐานจริยธรรม] มันขัดต่อหลักการทั่วไปของกฎหมายอยู่แล้ว เหตุผลที่ว่าเราไม่ควรจะมีบทบัญญัติที่มีข้อความคลุมเครือที่ให้อำนาจศาลในการตัดสิน ก็เพราะว่ามันจะเปิดช่องให้ศาลหรือเปิดช่องให้คนบังคับใช้กฎหมาย ใช้ดุลยพินิจได้อย่างกว้างขวางและไม่มีขอบเขตในการตีความว่าผิดจริยธรรมเป็นอย่างไร” อ.มุนินทร์กล่าว
อ.มุนินทร์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ความมั่นคงของรัฐเป็นอย่างไร ขัดต่อศีลธรรมอันดีเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเขาเลย…การใช้ดุลพินิจที่ไม่มีขอบเขตหรือหลักที่แน่นอน แล้วสุดท้ายผลก็คือไปตัดสิทธิบุคคลเป็นเรื่องอันตรายมากต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคล”
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ อ.มุนินทร์มองว่า การจะไปตัดสิทธิบุคคลหนึ่ง ต้องมีการระบุชัดเจนว่าทำอะไรถึงผิด แล้วลดการใช้ดุลพินิจให้น้อยที่สุด เพื่อเป็นเกราะกำบังให้กับสิทธิเสรีภาพของประชาชน และควบคุมการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่มีขอบเขต
อีกทั้ง อ.มุนินทร์ยังเห็นอีกว่า หากพิจารณาถึงความได้สัดส่วนระหว่างโทษกับความผิดแล้ว ก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ “มันผิดตั้งแต่เรามีบทบัญญัติลักษณะนี้แล้ว คือการตัดสิทธิมันอาจจะเป็นไปได้นะ แต่ว่าจะตัดสิทธิแค่ไหนมันก็ต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วน และข้อความที่เขียนมันก็ต้องมีความชัดเจนว่าการกระทำแบบไหนกันแน่ มันต้องเจาะจง มันไม่ควรใช้ถ้อยคำคลุมเครือหรือเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจที่กว้างขวางขนาดนี้”
ทั้งนี้ อ.มุนินทร์ก็ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเอาเรื่องจริยธรรมมาเป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมือง เพราะมองว่าเป็นเรื่องมาตรฐานในทางศีลธรรม ซึ่งระดับขั้นนั้นยังไม่ถึงขั้นกฎหมาย จึงกลายเป็นว่าไม่จำเป็นต้องผิดกฎหมายก็สามารถเพิกถอนสิทธิได้ โดยอาศัยเพียงแค่ดุลพินิจของผู้พิพากษาก็สามารถตัดสิทธิบุคคลหนึ่งได้แล้ว
ในความเห็นของ อ.มุนินทร์ก็มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก เพราะในประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่มีหลักการเช่นนี้ “มันถูกสร้างขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง” และอาจารย์ยังไม่เห็นด้วยกับโทษที่ไปถึงขั้นการตัดสิทธิตลอดไปจากกรณีที่ผิดจริยธรรมอีกเช่นกัน
“มันเป็นสิ่งที่สะท้อน หรือเป็นหลักฐานของความไม่มีนิติรัฐในระบบกฎหมายไทย…ในระบบกฎหมายที่มีนิติรัฐ หลักการพวกนี้มันเป็นหลักการพื้นฐานที่จะละเมิดไม่ได้เลย”
“ทีนี้คนก็อาจจะโต้แย้งว่าตัดสินตามกฎหมาย มันอยู่ในรัฐธรรมนูญ มันอยู่ในกฎหมาย พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง แต่ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ควรจะมีตั้งแต่แรกเลย ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างที่รัฐธรรมนูญปี 60 หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญมันได้ใส่เข้ามาเป็นเครื่องมือหรือเป็นกลไก ทีนี้เครื่องมือหรือกลไกลต่างๆ ก็ทำงานแล้วก็ก่อให้เกิดผลที่พิสดาร ก่อให้เกิดผลที่เกิดความกังวลกับคนทั่วๆ ไป ก็เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา” อ.มุนินทร์ทิ้งท้าย
2. มุมมองของ อ.เข็มทอง
ทางด้าน อ.เข็มทอง ก็ระบุว่า การที่ศาลอ้างการกระทำที่มีอยู่ก่อนกฎหมายจะบัญญัติขึ้นมาตัดสินนั้น “การตีความแบบนี้มีปัญหาแน่นอน แต่ศาลอธิบายว่าเป็นเพราะเมื่อโพสต์แล้วข้อความยังคงอยู่ในระบบ ไม่ได้ลบออก จริงๆ หากเป็นกฎหมายอาญาทั่วไปไม่ควรตีความเช่นนี้ได้ แต่ศาลเห็นว่าเป็นคดีจริยธรรมจึงเข้าใจว่ามีมาตรฐานในการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาและความเป็นธรรมโดยรวมหย่อนยานกว่าคดีอาญาทั่วไป”
เมื่อถามต่อว่าแล้วศาลใช้อะไรเป็นมาตรฐาน อ.เข็มทองก็ระบุว่า คำอธิบายของศาลในแง่นี้สอดคล้องกับคำอธิบายของสถาบันตุลาการในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งยืนยันความเป็นศูนย์รวมที่เคารพของปวงชนชาวไทย
อีกทั้ง อ.เข็มทองยังมองว่า มาตรฐานจริยธรรมที่วางหลักเอาไว้นั้น ก็ยังข้อความที่ไม่มีบรรทัดฐานแน่นอน เพราะเมื่อเทียบกับคดีมาตรา 112 อย่างน้อยที่สุด ในคดีมาตรา 112 ก็ยังมีแนวทางการตีความที่ถูกต้องชัดเจนอยู่ ไม่ว่าศาลจะยึดถือหรือไม่ก็ตาม และเมื่อไม่มีบรรทัดฐาน ศาลจึงมีอิสระเต็มที่ที่จะตีความภายในขอบเขตที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสม
“จริยธรรมเป็นเรื่องของความเหมาะสม แม้จะเป็นบรรทัดฐานสังคม แต่ก็ไม่ใช่กฎหมาย ซึ่งมีการตัดสินคุณค่าผิดถูกชั่วดีชัดเจน การใช้มาตรการทางกฎหมายมาจัดการปัญหาจริยธรรมจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น โทษที่ได้รับร้ายแรงยิ่งไปกว่าโทษอาญา 5 ประการที่กฎหมายอาญาระบุไว้เสียอีก”
“การฝากเรื่องจริยธรรมไว้กับศาล ซึ่งไม่น่าเข้าใจเรื่องจริยธรรมได้เพียงพอ ไม่น่าจะเป็นการออกแบบระบบตรวจสอบอำนาจที่ถูกต้อง” อ.เข็มทองทิ้งท้าย