วันนี้ (21 กันยายน) พรรคก้าวไกลโพสต์ถึงกรณีที่พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.อนาคตใหม่ ถูกศาลตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปด้วยเหตุมาตรฐานทางจริยธรรม โดยทางพรรคมองว่า กรณีดังกล่าวสะท้อนปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้องค์กรอิสระทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกที่ชื่อ ‘มาตรฐานทางจริยธรรม’ และยังเป็นการตอกย้ำให้ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
ในโพสต์ของก้าวไกลระบุว่า เมื่อวานนี้ (20 กันยายน) ศาลฎีกามีคำพิพากษาถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รวมถึงสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิตของพรรณิการ์ด้วยฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย จากโพสต์ในโซเชียลมีเดียเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ก่อนที่เธอได้รับเลือกตั้งเป็น สส.
ทางพรรคก้าวไกลเห็นว่า มีหลายส่วนในคำพิพากษาที่ถูกตั้งคำถามจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นข้อสังเกตเรื่องเวลาการกระทำที่เกิดก่อนการรับตำแหน่งทางการเมือง และ คำถามเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกที่ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย ทั้งยังมีกรณีที่การกระทำดังกล่าว เคยถูกฟ้องในฐานความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ แต่ศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้อง
“ยิ่งสะท้อนให้เห็น ‘ความผิดปกติ’ ของการพิจารณาที่อาจถูกตั้งคำถามได้ว่า ได้ให้ความเป็นธรรมแก่คุณพรรณิการ์อย่างเพียงพอหรือไม่” พรรคก้าวไกลระบุ
พรรคก้าวไกลมองว่า เหตุการณ์นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ตอกย้ำถึงปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้ขยายอำนาจขององค์กรอิสระซึ่งมีที่มาที่ ‘ขาดความยึดโยง’ กับประชาชน แต่เปิดช่องให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ ‘ทำลายล้าง’ ทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายอนาคตทางการเมืองของผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ผ่านกลไกไม้บรรทัดที่ชื่อ “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้วอย่างน้อย 4 กรณี
พรรคก้าวไกลยังได้อธิบายถึง ‘มาตรฐานทางจริยธรรม’ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 219 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ถูกกำหนดร่วมกันโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ แต่ถูกบังคับใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด
รัฐธรรมนูญมาตรา 235 กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงในข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้อง และเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
“กลไกนี้มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานประชาธิปไตยสากล เพราะนอกจากเป็นการวางกลไกที่ ‘ผิดฝาผิดตัว’ ในการให้อำนาจองค์กรหนึ่งมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมหรือพิพาษาเรื่องจริยธรรมขององค์กรอื่น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้องค์กรตุลาการใช้อำนาจในการ ‘ประหารชีวิต’ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ด้วยข้ออ้างเรื่อง ‘จริยธรรม’ ที่สามารถถูกเขียนไว้อย่างกว้างและสามารถถูกตีความได้ตามดุลพินิจของตนเอง”
นั่นจึงทำให้พรรคก้าวไกลมองว่า เหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการปฏิรูปอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระเป็นวาระที่ขาดหายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องรวมถึง
1) การวางขอบเขตอำนาจให้สมเหตุสมผลและไม่เปิดช่องให้ถูกใช้ในการขัดขวางเจตนารมณ์ของประชาชน
2) การปรับกระบวนการสรรหา-รับรองผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระให้ยึดโยงกับประชาชนและไม่ถูกผูกขาดไว้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทางการเมือง
3) การสร้างกลไกในการตรวจสอบและกลไกรับผิดรับชอบขององค์กรอิสระ
“ดังนั้น ไม่ว่าอาวุธเรื่อง ‘มาตรฐานจริยธรรม’ ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 จะถูกใช้กับนักการเมืองคนใดหรือจากพรรคการเมืองใด และไม่ว่าพฤติกรรมของนักการเมืองคนนั้น จะเป็นสิ่งที่ท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ทันทีที่สังคมไทยยอมรับให้การใช้อาวุธนี้กลายเป็นเรื่องปกติ นั่นเท่ากับเรายอมรับให้มีการทำลายล้างกันทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม จนสุดท้าย ‘มาตรฐานจริยธรรม’ อันเลื่อนลอย-ไร้มาตรฐานนี้ เป็นอาวุธหวนกลับมาบ่อนทำลายหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย” พรรคก้าวไกลระบุ
อ้างอิงจาก