วันนี้ (28 กันยายน) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา รีฟ—วีรภาพ วงษ์สมาน ผู้ถูกกล่าวหาว่าพ่นสีเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่แยกดินแดง ตามความผิดข้อหามาตรา 112 และข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ส่วนข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
ศาลระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงข้อความที่พ่นสี พบว่า “เป็นคำสบถ หยาบคาย เจตนาว่าร้ายพระมหากษัตริย์ ประชาชนทั่วไปพบได้ จึงทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสีย”
อย่างไรก็ตาม ตลอดกระบวนการพิจารณาคดี วีรภาพให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่คนในภาพและไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 เวลา 17.00 น. บริเวณแยกดินแดง มีผู้ชุมนุมรวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ลาออก และเพื่อทวงยุติธรรมให้กับผู้ชุมนุมที่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมจากครั้งก่อนๆ
ในวันที่ 15 กันยายน 2564 ตำรวจก็ได้เข้าจับกุมวีรภาพ ซึ่งต่อมาก็ได้รับการประกันตัวด้วยหลักประกัน 100,000 บาท พร้อมกับเงื่อนไขให้ติดกำไล EM
กระทั่งวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 พนักงานอัยการก็ได้ยื่นฟ้องวีรภาพในข้อหา
– หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 112
– ร่วมชุมนุมสาธารณะ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
– ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ตาม ป.อ. มาตรา 215
– พนักงานสั่งให้เลิกชุมนุมมั่วสุมแต่ไม่เลิก ตาม ป.อ. มาตรา 216
– ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ฯ ตาม ป.อ. มาตรา 138, 140
ทั้งนี้ วีรภาพให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จนมีการสืบพยานในวันที่ 16-17 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยโจทก์นำพยานเข้าเบิกความทั้งหมดรวม 3 ปาก ได้แก่ พ.ต.อ.พีรรัฐ โยมา กับ พ.ต.อ.ประวิทย์ กองชุมพล เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สน.ดินแดง และ พ.ต.ท.สุรพล จันทร์สมศักดิ์ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ในขณะที่ฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความ 1 ปาก ได้แก่ วีรภาพ ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน
พ.ต.อ.พีรรัฐ เบิกความว่า ในขณะเกิดเหตุ ตนอยู่ในที่เกิดเหตุและเห็นเหตุการณ์ที่มีบุคคลพ่นสีสเปรย์เป็นข้อความว่า “ควรปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ # ไอ้ษัตริย์” และข้อความภาษาอังกฤษอีก 1 ข้อความ ซึ่งภายหลังก็ได้ดูคลิปขณะเกิดเหตุ และได้ตรวจพิสูจน์บุคคลจากรูปพรรณสัณฐาน เสื้อผ้า เปรียบเทียบกับรูปที่จำเลยลงในโซเชียลมีเดีย พบว่าผู้กระทำผิดคือวีรภาพ
พ.ต.ท.สุรพล เบิกความต่อว่า ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้ ตนไม่เคยเห็นหรือรู้จักกับวีรภาพมาก่อน และทราบว่าผู้กระทำผิดเป็นวีรภาพก็จากรายงานการสืบสวนเท่านั้น
เมื่อทางทนายของวีรภาพให้ พ.ต.ท.สุรพล ดูรูปถ่ายผู้ก่อเหตุในรายงานการสืบสวน พ.ต.ท.สุรพล ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นวีรภาพ แต่ระบุว่า หากเป็นคนรู้จักก็คงทราบว่าเป็นวีรภาพหรือไม่ และชุดสืบสวนไม่ได้ส่งคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุเข้ามาให้พยานรวมเป็นพยานหลักฐานในสำนวน
อย่างไรก็ดี วีรภาพ ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม และเมื่อทนายให้ดูรูปภาพขณะเกิดเหตุในรายงานการสืบสวน เขาก็ระบุว่า บุคคลในรูปไม่ใช่ตนและไม่ทราบว่าเป็นใคร
นอกจากนี้ ในวันแรกของการสืบพยาน ยังมีเจ้าหน้าที่จาก iLaw และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายฯ เข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยผู้พิพากษาแจ้งว่าจะบันทึกคำเบิกความพยานเป็นวิดีโอ
ภายหลังจากที่พยานปากแรกเบิกความเสร็จสิ้น ศูนย์ทนายฯ ก็รายงานว่า “ผู้พิพากษาได้แจ้งกับผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ทั้งสองว่า การจดบันทึกในระหว่างพิจารณาคดีขัดต่อข้อกำหนดศาลอาญา และให้เจ้าหน้าที่ยึดสมุดบันทึกไปฉีกหน้าที่จดบันทึกออกส่งให้ศาล”
“ต่อมา ผู้พิพากษาได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาระบุว่า ผู้ร่วมสังเกตการณ์ทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลอาญา โดยการจดบันทึกกระบวนพิจารณาและคำเบิกความพยาน ศาลจึงว่ากล่าวตักเตือน ก่อนคืนสมุดบันทึก” ศูนย์ทนายฯ ระบุ
อ้างอิงจาก