ถึงหน้าตาจะดูยิ้มแย้มตลอดเวลา แต่รู้ไหมว่า ‘หมาน้ำ’ หรือ ‘แอกโซลอเติล’ (axolotl) เป็นสัตว์ที่ถูกจัดให้อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (critically endangered) มาเกือบ 20 ปีแล้ว
ด้วยเหตุนี้ นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งชาติเม็กซิโก (National Autonomous University หรือ UNAM) จึงทำแคมเปญที่ชื่อ ‘Adoptaxolotl’ เชิญชวนให้คนมารับเลี้ยงหมาน้ำที่มีตัวตนอยู่จริงในเม็กซิโกได้ แต่เป็นการรับเลี้ยงแบบเสมือนจริง
พูดอีกอย่างคือ หมาน้ำจะอยู่ที่เดิมที่เม็กซิโก แต่ผู้รับเลี้ยงจะได้ใบรับรองการรับเลี้ยง บัตรประจำตัวหมาน้ำ รวมถึงได้อัพเดตแบบเรียลไทม์ว่าสุขภาพของหมาน้ำที่รับเลี้ยงเป็นยังไงบ้าง
แคมเปญนี้จะมีค่าใช้จ่ายต่างกันไป เช่น ถ้าจะรับเลี้ยงหมาน้ำเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องบริจาคเป็นจำนวน 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,000 บาท) ถ้าอยากรับเลี้ยง 6 เดือน ต้องบริจาค 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6,300 บาท) หรือถ้า 1 ปี ก็ต้องบริจาค 360 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 12,500 บาท) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีออปชั่นในการให้อาหารหมาน้ำ 1 มื้อ ที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 350 บาท) ด้วย
เมื่อปีที่แล้ว แคมเปญนี้ได้เงินบริจาคไปมากถึง 450,000 เปโซ หรือเกือบ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว ในปีนี้ นักนิเวศวิทยาที่มหาวิทยาลัย UNAM ก็หวังว่าจะได้รับบริจาคเงินมากกว่าปีที่แล้วอีก
แล้วเงินบริจาคจะเอาไปทำอะไรบ้าง? หลักๆ คือนำไปสร้างที่อยู่และปรับปรุงแหล่งที่อยู่เดิมของหมาน้ำ ซึ่งถูกทำลายจากผลกระทบของการขยายเมืองเม็กซิโกซิตีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา และนำไปช่วยอนุรักษ์หมาน้ำด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการเจริญเติบโต
ทั้งนี้ แหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของหมาน้ำ มีอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือตามคลองบริเวณทะเลสาบโซชิมิลโก (Xochimilco) ทางตอนใต้ของเม็กซิโกซิตี้
เมื่อปี 1998 นักวิทยาศาสตร์เคยนับจำนวนประชากรหมาน้ำครั้งแรก พบว่ามีอยู่ประมาณ 6,000 ตัวต่อ 1 ตารางกิโลเมตร ในบริเวณทะเลสาบโซชิมิลโก แต่พอนับครั้งล่าสุดเมื่อปี 2014 กลับพบว่าจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย เหลือเพียงประมาณ 36 ตัวต่อ 1 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น
“เราลดลงจาก 6,000 ตัว เหลือ 36 ตัว ในเวลาไม่ถึง 20 ปี” หลุยส์ ซัมบราโน (Luis Zambrano) นักนิเวศวิทยา จาก UNAM กล่าว “เราต้องการเงินทุนเพื่อนับจำนวนประชากรครั้งใหม่ แต่ฉากทัศน์ก็ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นไปได้มากกว่าว่าพวกเขากำลังจะสูญพันธุ์แล้ว”
ถ้าหมาน้ำตามธรรมชาติสูญพันธุ์ ซัมบราโนบอกว่า “ก็จะถือว่าย่ำแย่อย่างมาก ต่อทั้งวัฒนธรรมเม็กซิกัน และโลกวิทยาศาสตร์”
อ้างอิงจาก