ประเด็นเรื่อง AI กับการละเมิดสิทธิต่างๆ เป็นที่พูดถึงมาโดยตลอด และเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศจีนไม่นานนี้ ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเถียงดังกล่าวอีกครั้ง หลังมีรายงานว่า AI ใช้อัลกอริทึ่ม เปรียบเทียบใบหน้าต่างๆ จนทำให้ครอบครัวหนึ่ง ได้เจอกับลูกชายที่หายตัวไป 25 ปี
เซี่ยชิงซ่วย คือชื่อของเด็กชายที่หายตัวไปเมื่ออายุได้เพียง 3 เดือน
แม่ของเซี่ยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ลูกชายของเธอหายไปว่า ในตอนนั้น เธอไปซื้อของที่ร้านค้าใกล้บ้านโดยไม่ได้ล็อกประตูบ้านเพียงแค่ 10 นาที พอกลับมาอีกที ลูกชายของเธอก็หายไปแล้ว
หลังจากนั้น ครอบครัวเซี่ยก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาตัวลูกของพวกเขาเป็นเวลาถึง 25 ปี แต่ก็ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ
กระทั่งเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ครอบครัวเซี่ยได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า หลังมีการเปรียบเทียบใบหน้าต่างๆ ทางเจ้าหน้าที่ก็พบตัวลูกชายครอบครัวเซี่ยแล้ว และการจากเทียบ DNA ก็ยืนยันได้ว่าคนที่พบ เป็นลูกชายที่ทางครอบครัวตามหาอยู่จริงๆ
ไม่นานหลังจากที่ตำรวจออกมาเปิดเผยเรื่องราวของสองแม่ลูก บริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ‘Beijing DeepGlint Technology’ ก็ออกมากล่าวว่าอัลกอริทึ่มการเทียบเคียงใบหน้า (facial comparison algorithm) ของบริษัท คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการกลับมาพบเจอกันของครอบครัวนี้ และเซี่ยชิงซ่วยก็เป็นเด็กรายที่ 4 ที่อัลกอริทึ่มของทางบริษัทเข้าไปมีส่วนช่วยให้คนที่พรากจากกัน ได้กลับมาพบกันอีก
“เราหวังว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับสังคมและปัจเจก ผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดียิ่งขึ้น” บริษัท DeepGlint กล่าว
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ด้วยปัญหาเด็กหายและการลักพาตัวเด็กที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ส่งผลให้ทางรัฐบาลจีนร่วมมือกับบริษัท AI โดยอนุญาตให้บริษัทสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของตำรวจ เพื่อใช้สำหรับการเทรน AI ได้ แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันเช่นกันว่าบริษัท DeepGlint ใช้ฐานข้อมูลของตำรวจด้วยหรือไม่
อีกทั้ง ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่า AI สามารถช่วยให้พบเด็กที่หายจากครอบครัวไปได้กี่รายแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ก็พบเห็นรายงานที่เพิ่มมากขึ้น เกี่ยวกับกรณี AI สามารถช่วยตามหาเด็กหายสำเร็จ
เจสัน หลิว นักพัฒนาด้าน AI และหุ่นยนต์กล่าวถึงเทคโนโลยีนี้ว่า เป็นสิ่งที่เรียบง่ายและมีมา 2-3 ปีแล้ว โดยมันจะใช้วิธีการคำนวณลักษณะใบหน้า เช่น ขนาดตา ความสูงโหนกแก้ม แล้วนำมาเปรียบเทียบกับญาติที่มีความคล้ายคลึงกัน แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเทคโนโลยีนี้คือมันมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ แต่ตราบใดที่มันสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของตำรวจได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ข้อมูลของหลิวสอดคล้องกับรายงานที่ว่า เมื่อปี 2017 บริษัท Tencent ของจีนมีห้องปฏิบัติการ AI ที่ทำงานร่วมกับตำรวจเสฉวน ฝึก AI เพื่อสร้างภาพว่าเด็กที่หายไปอาจมีลักษณะเป็นอย่างไรหลังเวลาผ่านไป 10 ปี เมื่อ AI ดังกล่าวสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลของตำรวจได้ในจำนวนหลายล้านชิ้น โมเดลดังกล่าวก็สามารถจับคู่เด็ก 4 ใน 10 ที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้สำเร็จ
รวมไปถึงเมื่อปี 2016 Baidu เสิร์ชเอ็นจิ้นของจีนยังได้พัฒนาโปรแกรม เพื่อเจาะฐานข้อมูลผู้สูญหายจากกระทรวงกิจการพลเรือน (Ministry of Civil Affairs) โดยถ้ามีคนที่เห็นผู้สูงอายุที่อาจสูญหายหรือเด็กที่พวกเขาสงสัยว่าอาจถูกลักพาตัว พวกเขาก็สามารถอัปโหลดรูปภาพไปยัง Baidu แล้วมันก็จะเปรียบเทียบรูปภาพของพวกเขากับทะเบียนผู้สูญหายของกระทรวงได้ทันทีอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวของ ของสองแม่ลูกที่ได้กลับมาพบกันหลังผ่านไป 25 ปี ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในจีนหลายคนก็ออกมาแสดงความเห็นทั้งหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถได้เจอกับญาติที่หายไปอีกครั้ง หรืออาจช่วยในการติดตามผู้หลบหนี แต่ขณะเดียวกัน ก็มีความเห็นที่เป็นห่วงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลเช่นกัน
เจิ้งเลี่ยวหยวน รองศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ของจีน คือหนึ่งในคนที่ออกมาเตือนเกี่ยวกับประเด็นด้านจริยธรรมและกฎหมาย
“ตอนนี้ ยังไม่รายงานที่ชัดเจน [ในกรณีของเซี่ย] ว่าบริษัทใช้เพียงรูปภาพเพื่อค้นหาข้อมูล หรือพวกเขาใช้ข้อมูลของตำรวจในเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลด้วย” เจิ้งกล่าว
เจิ้งมองว่า สำหรับครอบครัวนี้ การที่ใช้ AI เพื่อตามหาคนที่หายไปจนได้กลับมาเจอกันก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามองไปในระดับที่ใหญ่ขึ้น ก็เกิดคำถามว่าถ้ามีเทคโนโลยีดังกล่าว จะเป็นเรื่องที่ดีของสังคมทั้งหมดจริงหรือไม่
อ้างอิงจาก