แม้ว่าใครต่างก็ออกตัวว่ายังคงกรีดเลือดออกมาเป็นสีฟ้า แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นับตั้งแต่วินาทีที่มติส่วนใหญ่ร้อยละ 88.5 ส่งให้เฉลิมชัย ศรีอ่อน นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คนที่ 9 ทั้งที่เคยลั่นวาจาว่าจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิตหากแพ้เลือกตั้งแล้วนั้น สถาบันทางการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ก็คงไม่เหมือนเดิมต่อไป
“เลือกตัวจริงเสียงจริง ไม่มีการซ่อนเร้นอำพราง” เป็นความเห็นของโอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่มองว่านี่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย และเปิดเกมพร้อมแตกหักกับขั้วอำนาจฟากของอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย แบบออกสื่อแล้ว
ถึงได้ปรากฏภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก่อนที่อดีต สส.ที่เคยคุ้นหู คุ้นตา จะทยอยตามทั้ง สาธิต ปิตุเตชะ อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงของ ปชป. คราวนี้ส่งผลต่อโฉมหน้าพรรคและการเมืองไทยอย่างไร? The MATTER คุยกับ อ.โอฬาร ถึงประเด็นนี้ ไม่เพียงในฐานะของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ แต่ยังเป็นผู้ติดตามการเมืองท้องถิ่น
อ.โอฬาร เริ่มต้นว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิดจากความคาดหมาย เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเฉลิมชัย และสมาชิกที่สนับสนุน เป็นผู้มีอำนาจภายในตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุว่าบรรดา สส.แบบแบ่งเขต ต่างก็เป็นเครือข่ายของเขาทั้งหมด “นี่คือสภาพและลักษณะอำนาจใน ปชป.ตอนนี้”
“หลายคนคิดว่า ปชป.น่าจะถอดบทเรียน แล้วหาคนที่เป็นตัวกลางพอจะประนีประนอม เช่น มาดามเดียร์ วทันยา ถึงได้ไม่คิดว่าในท้ายสุด เขาจะยอมเล่นเกมที่ทำลายต้นทุน ทำลายอนาคต ทำลายศรัทธา และเลือกใช้วิธีการรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ”
“เมื่อก่อนกลุ่มของคุณเฉลิมชัยก็มีอำนาจอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องประนีประนอมกับฝั่งของคุณชวน แต่คราวนี้ผมคิดว่าเขาไม่เลือกทางเดิม พร้อมจะแตกหักกับคุณชวน”
การเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยทางการเมืองอย่างไร
หากมองแค่เพียงว่านี่เป็นการเปลี่ยนผ่านภายในปชป. อ.โอฬาร ชี้ว่านับเป็นการเลือกแบบถูกฝาถูกตัว คือเลือกตัวจริงเสียงจริง ไม่มีการซ่อนเร้นอำพราง ในขณะที่ภาพจำของคนวงนอกมองว่า ปชป.เป็นพรรคเก่าแก่ ซึ่งมีความเป็นสถาบันทางการเมืองสูง แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ การเดินหน้าต่อไปของพรรคก็อาจถูกจับตา และตั้งคำถามค่อนข้างมาก
“จะโทษคุณเฉลิมชัยก็ไม่ได้ เพราะความเสื่อมถอยของปชป. มีมาอย่างน้อย 20 ปี ตั้งแต่คุณอภิสิทธิ์ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร บอยคอตการเลือกตั้ง จนมาถึงการที่คุณสุเทพจัดตั้งม็อบกปปส. นำไปสู่รัฐประหาร ถึงสุดท้ายคุณสุเทพจะรับผิดชอบโดยการลาออกก็ตาม
“ไม่เว้นกรณีของคุณชวนและคุณจุรินทร์ ที่ไปปราศรัยคล้ายหลอกสังคม โจมตีคุณประยุทธ์มากมาย ทำให้สังคมเชื่อว่าน่าจะไม่ร่วมมือกัน ก่อนที่สุดท้ายจะได้ตำแหน่งประธานสภาฯ และเข้าร่วมรัฐบาล”
“คุณเฉลิมชัยเองก็เสียต้นทุน เพราะเขาก็ตระบัดสัตย์เหมือนกัน แล้วการตระบัดสัตย์ทางการเมืองในช่วงปี 2566 เสียหายมาก ตัวอย่างคุณอุ๊งอิ๊งหรือแม้แต่หมอชลน่านเอง”
จากปัจจัยเหล่านี้ผนวกกับภาพลักษณ์ทางการเมืองของหัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่ถูกจดจำว่าเไม่ได้ต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ในทางการเมือง จึงเป็นเหตุผลให้ อ.โอฬาร มองว่ายากที่จะสามารถกอบกู้พรรคในบรรยากาศแบบนี้
“ผมเลยคิดว่าหลังจากนี้ไป ปชป.คงไม่โตแต่ก็ไม่ตาย และปรับบทบาทไปต่อรองมากขึ้น คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นแกนนำเหมือนเดิม แต่กลายเป็นตัวแปรในทางการเมือง”
นอกจากนี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รายนี้ยังชี้ว่า บทบาทของอดีตนายกฯ ชวน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสและมีคุณูปการ ย่อมลดน้อยลงตามกาลเวลา “ทำให้คนในกลุ่มก้อนของเขาไม่โตเลยสักครั้ง ต้องอยู่ภายใต้อำนาจเขาทั้งหมด รอฟังแต่บารมีคุณชวนที่พลังถดถอยแล้ว”
สะท้อนภาพการเมืองบ้านใหญ่เติบโต
อ.โอฬาร เล่าว่า ย้อนไปช่วงปี 2540 คนที่เข้ามาในปชป. มักจะมีลักษณะคล้ายๆ กับพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน คือ ประวัติดูดี มีความรู้ความสามารถ เป็นที่รู้จักในทางสาธารณะ จนผู้คนต่างตื่นตาตื่นใจ แต่ถัดมาราวปี 2550 ปชป. หันไปเล่นเกมการเมืองแบบบ้านใหญ่ คนที่เข้ามาจึงกลายเป็นลูกหลานคนบ้านใหญ่ในต่างจังหวัด รวมถึงผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศ ซึ่งได้อานิสงส์บุญเก่าจากพ่อแม่ แต่ยังสื่อสารทางการเมืองไม่เชี่ยวชาญเท่า
“พอตอนนี้ใช้วิธีการแบบเดิมจึงขายไม่ได้ เพราะการแข่งขันเปลี่ยนไปต่อสู้เชิงนโยบายเข้มข้นขึ้น บวกกับไม่สามารถรักษาจุดยืนของตัวเอง เห็นได้ชัดจากยุคสมัยคุณจุรินทร์ที่ชู ‘ประชาธิปไตยกินได้ ’ แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ว่าอะไรคืออุดมการณ์ของพรรค…เสียหายมากที่สุดก็เพราะพรรคอิงกับการรัฐประหารมากเกินไป และปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายต่อหลายครั้ง ปชป.เป็นผู้ลากการเมืองไปสู่ความขัดแย้ง”
แล้วประชาธิปัตย์จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นโทษต่อบางพรรคการเมือง แต่คงไม่ใช้สำหรับ ปชป.เสียแล้ว เพราะอ.โอฬาร มองว่านี่จะเป็นประโยชน์และสร้างกลยุทธ์ให้กับหัวหน้าพรรคคนใหม่
“ต้องยอมรับว่ากว่า 20 ที่นั่ง ที่สนับสนุนคุณเฉลิมชัยเป็นนักเลือกตั้งประจำจังหวัด เป็นตระกูลการเมืองท้องถิ่นทั้งนั้นเลย ชนะกันเลือกตั้งมาด้วยตัวเอง ด้วยแรงสนับสนุนจากเครือข่ายของตระกูลของเขา แทบไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเลย ผมคิดว่าเขาก็เป็นนักการเมืองที่ต้องอาศัยโอกาสนี้ในการต่อรองตำแหน่งแห่งทางการเมือง ในเมื่อตัวเองไม่สามารถจะเป็นแกนนำอย่างในอดีตได้”
“ผมคิดว่ายุทธศาสตร์ต่อจากนี้ไปของคุณเฉลิมชัย คือใครเป็นรัฐบาลเขาพร้อมจะเข้าไปเป็นตัวแปรทางการเมือง เพราะในทางคณิตศาสตร์การเมืองตัวเลขประมาณ 20-30 ที่นั่ง เป็นตัวเลขที่พอดี เกิน 50 เมื่อไหร่ในทางการเมืองพรรคแกนนำจะไม่ชอบเพราะมีอำนาจในการต่อรองสูง พลิกทีเดียวรัฐบาลแก้เกมยาก อย่างที่เกิดกับภูมิใจไทย”
ไม่รู้ว่าในอนาคต ปชป. จะเดินหน้าไปเช่นไร แต่ความเปลี่ยนแปลงของพรรคเก่าแก่แห่งนี้ จากพรรคคนเมืองมาเป็นพรรคคนใต้ และกำลังจะกลายเป็น ‘พรรคคนกันเอง’ ดูจะไม่เกินจริงแล้ว