“ถ้าเราเชื่อในศักยภาพมนุษย์ ปีชงเลยไม่เท่ากับที่เราทำตัวเอง ถ้าเราชงแต่ยังมีทัศนคติแบบเดิม ใช้ชีวิตและมีมโนทัศน์แบบเดิมๆ ต่อให้เราแก้ปีชงแค่ไหนก็ไม่มีผล คนจีนถึงมีคำพูดว่าลิขิตฟ้าแค่ 30% เท่านั้น แต่การดำเนินชีวิตที่ทำอยู่มันแรงกว่าถึง 70%”
อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง ที่ทำให้ผู้ใกล้ชิดและสัมผัสวิถีความเชื่อทางโหราศาสตร์จีนมาทั้งชีวิต อย่าง ณัฐนนท์ นนทณัฐ์ หัวหน้าฝ่ายพิธีกรรมศาลเจ้าแสงธรรม จ.ภูเก็ต ออกปากเช่นนี้กันนะ?
เริ่มต้นปีใหม่ทีไร ‘ปีชง’ นับเป็นเรื่องหนึ่งที่คนจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีดราม่าปีชงเกิดขึ้นรับต้นปี และไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร แต่ประเด็นหนึ่งที่ผู้คนมักไม่เห็นแย้ง คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และดำเนินชีวิตได้สะดวกสบายขึ้นผ่านการมีปฏิสัมพันธ์
The MATTER มีโอกาสคุยกับ ณัฐนนท์ หรือ อาจารย์นนท์ ตามคำเรียกขาน ถึงเทรนด์การแก้ชงที่กำลังเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่
เหตุผลที่คนอายุน้อยสนใจแก้ปีชง?
“ครั้งหนึ่งเคยไปไหว้พญานาคที่อุดรฯ กับอาจารย์ที่เคารพคนนึง แล้วเขาก็บอกเคล็ดลับว่าใครปีชงให้ไปลอดใต้เต่า เพื่อแก้จากปีที่เลวร้ายมากๆ ให้น้อยลง เราก็เลยไป มันอาจไม่ได้ดีกับตา แต่ก็สบายใจที่ได้ทำ”
ขิม (นามสมมุติ) ในวัย 27 ปี เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่มีความเชื่อที่ผสมผสานทั้งโหราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนสนใจประเด็นวัฏจักรของชีวิตคนที่เกี่ยวข้องกับดวงดาว ที่ว่าคนเราย่อมพบเจอเรื่องดีและไม่ดีสลับกันไป นั่นทำให้ประเด็น ‘ปีชง’ เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอไม่มองข้าม และจะแก้ไขเมื่อมีคนทักท้วง
ด้วยประสบการณ์ใกล้ชิดกับคนอายุน้อยที่สนใจแก้ปีชงโดยตรง อ.ณัฐนนท์ มองว่า การสื่อสารเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระแสแก้ปีชงขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะภายหลังปี 2550 “10 ปีก่อน ปีชงถูกอธิบายเน้นที่ภาวะของผู้ใหญ่วัยกลางคน เช่น เรื่องอุบัติเหตุ ปัญหาธุรกิจ เพราะเกี่ยวข้องกับดวงปะทะตามนักษัตร ซึ่งความรู้แบบนี้ยังไม่ไปถึงวัยรุ่นมาก”
ในเวลาต่อมา เมื่อการอธิบายคำเน้นไปที่เรื่องสุขภาพ และแง่มุมอื่นๆ ที่นักโหราศาสตร์ยุคปัจจุบันใช้อ้างถึง จึงเป็นเหตุผลให้ อ.ณัฐนนท์ มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างความนิยมในหมู่วัยรุ่น “พอเขียนให้ย่อยง่ายขึ้น ด้วยคำพูดง่ายๆ พบเห็นในสื่อบ่อย เด็กๆ เลยมองว่าไม่ไกลตัวอะไร เกิดอะไรไม่ค่อยดีขึ้นหน่อย ก็ถูกพูดถึงด้วยคำว่าชง”
อะไรๆ ก็ถูกหาว่าชง
ด้วยความเชื่อเรื่องอี้จิง หรือการทำนายดวงตามหลักโหราศาสตร์จีนโบราณนั่น อ.ณัฐนนท์ เริ่มต้นอธิบายว่า กรณีนักษัตรจะมีกลไก ’ไท้ส่วยเอี้ย‘ หรือเทพนพเคราะห์ประจำปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับธาตุไม้ ที่คนจีนเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทำให้คนเจริญเติบโต พอมีการใช้พลังไปเรื่อยๆ ก็คล้ายทำให้กำลังถดถอย จนเกิดอุบัติภัยต่างๆ ตามมา
“พูดคร่าวๆ ว่า ถ้านักษัตรนั่งตรงข้ามกันเหมือนเรามองไป 12 นาฬิกา กับ 6 นาฬิกา ก็จะเกิดการปะทะแรงของเทพพนเคราะห์ที่อยู่ตรงข้ามกับปีนักษัตรนั้น คนก็จะเชื่อว่าส่งผลกับชีวิตความเป็นอยู่”
ประเด็นนี้เองที่อาจทำให้ความเชื่อเรื่องปีชง คลาดเคลื่อนไปจากอดีต อ.ณัฐนนท์ ชี้ว่า พิธีกรรมไม่ใช่ส่วนสำคัญของปีชง แต่เป็นการให้ความสำคัญกับการผ่านช่วงวัยที่มีรอยเลี้ยวรอยต่อมากขึ้น จึงจำเป็นต้องรู้จักระวังตัว การแก้ปีชงที่ถูกทำในวงกว้างจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่
“ความเชื่อเรื่องร่วมชง ซึ่งแปลความหมายมาจากการถูกเทพพนเคราะห์ให้ร้ายด้านข้าง ไม่ได้มีผลโดยตรงกับเรื่องโชคชะตา ซึ่งทางโหราศาสตร์ไม่ได้ใช้ ก็ยิ่งทำให้ความหมายเพี้ยนเรื่อยๆ”
อ.ณัฐนนท์ อธิบายต่อว่า คนจีนเชื่อเรื่องธาตุ ซึ่งคนเกิดแต่ละปีก็จะมีธาตุประจำตัวที่ต่างกัน เมื่อผนวกกับความหมายของชงที่แปลว่า ’ปะทะ‘ จึงส่งผลให้คนที่เกิดปีต่างกันก็อาจถูกกระตุ้นพลังงานชีวิตทั้งทางดีและทางร้าย
“สมัยก่อนคนแก้ปีชงในศาลเจ้า เขาจะขอวันเดือนปีเกิดดูก่อนว่าควรทำไหม หรือไม่ทำก็ดีอยู่แล้ว แต่พอภายหลังเป็นเรื่องของพาณิชย์ เลยถูกพูดรวมๆ ว่าคนเกิดปีนั้นทั้งปีไม่ว่ารอบอายุไหนก็ชง มันก็เป็นความเชื่อยุคใหม่ที่ความหมายเปลี่ยนไปเป็นเรื่องปกติ”
สิ่งหนึ่งที่ อ.ณัฐนนท์ ย้ำคือรากฐานของโหราศาสตร์จีนไม่ได้ยึดโยงกับศาสนา ชงเลยถูกทำให้เป็นลัทธิพิธีตั้งแต่โบราณ เมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องคอขาดบาดตายคนจึงกลัวเป็นธรรมดา พิธีกรรมเช่นนี้เลยได้รับการตอบรับจากทุกคน
ต่อให้ไม่เชื่อ ก็ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง?
อาจไม่สอดคล้องกันเสียทีเดียว แต่คำบอกเล่าจากประสบการณ์ของ ปลา (นามสมมติ ) ครั้งเป็น first jobber ในวัย 22 ย่าง 23 ปี กำลังช่วยยืนยันสิ่งที่ว่า ความเชื่อขององค์กรอาจมีผลต่อคนทำงาน ซึ่งบางเรื่องก็เกินกว่าที่จะรับมือ “เขาบอกเราดูเป็นคนจมูกใหญ่ น่าจะเป็นคนขยันขันแข็งเอาการเอางาน หน้าผากเราก็สวยได้รูป คนน่าจะชอบคนน่าจะเอ็นดู”
นอกจากจะได้เปิดโลกของการทำงานเป็นครั้งแรก นี่ก็เป็น อีกสิ่งที่ปลาได้เรียนรู้อย่างไม่ได้คาดหวังมาก่อน ว่าโหงวเฮ้งของเธอกลายเป็นหนึ่งสิ่งที่ทำให้เธอมีโอกาสเข้าทำงานในองค์กรขนาดเล็กด้านไอที
ทั้งนี้ เกินกว่าจะคาดเดาว่าวันเดือนปีเกิดของเธอจะมี ผลต่อการพิจารณาหรือไม่ แต่ในประวัติส่วนตัวเธอก็ไม่ได้เลี่ยงที่จะไม่เปิดเผย เพราะไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องลักษณะนี้จะมีอยู่จริงในโลกของการทำงาน “สิ่งที่เราไม่เชื่อ มันมีคนที่เชื่อ แล้วส่งผลกระทบบางอย่างอยู่ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้เลย”
ด้วยเหตุผลว่าประสบการณ์ครั้งนั้นที่ปลาและบริษัทไม่ได้เดินหน้าไปด้วยกันได้ จะไม่ได้ทำให้เธอให้น้ำหนักกับสิ่งนี้เป็นเหตุผลแรก แต่ก็กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทดไว้ในใจอยู่ตลอดเมื่อต้องการสมัครงานคราวถัดไป
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่ใกล้ชิดและสัมผัสกับความเชื่อนี้มาตลอด อ.ณัฐนนท์ ชี้ว่า โหราศาสตร์เป็นสิ่งที่ใช้การนับสถิติ ว่าช่วงชีวิตนี้เราจะต้องปะทะกับอะไร อย่างอารมณ์ความรู้สึก สังคมภายนอก เป็นต้น จึงเป็นที่มาของข้อแนะนำว่า ถ้าเชื่อว่าชงเป็นเรื่องร้ายอย่างน้อยเราควรมีทัศนคติที่ดีที่ดี คิดบวกให้มาก สอดคล้องกับภาษาพระที่ อ.ณัฐนนท์ยกมาว่า ‘อย่าไปหาสาระจนมากเกินไป’
“โหราศาสตร์เป็นแค่แผนชีวิต ถ้าเรารู้ว่าต้องเจออะไรอย่างน้อยเราแค่หลบเฉยๆ ไม่ได้แปลว่าเรารู้หรือทำพิธีล่วงหน้าแล้วจะพุ่งชนสิ่งนั้นอีก ก็คงไม่ใช่อยู่ดี” อ.ณัฐนนท์กล่าวปิดท้าย