‘ใช่ครับ ผมคือคนที่ถูกเลือก’ เป็นข้อความทิ้งท้ายที่ยังบันทึกไม่จบ ของ รุ่งคุณ จันทโชติ นายตำรวจที่เพิ่งจากไปในวัย 33 ปี หลังต่อสู้กับมะเร็งปอดระยะลุกลาม และบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ผ่านโลกออนไลน์มาตลอด กำลังนำเรื่องเดิมให้ถูกกลับมาเล่าใหม่อีกครั้ง
522 คน เป็นตัวเลขโดยประมาณของผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันในบ้านเรา ส่งผลให้แต่ละปีมีผู้ป่วยสะสมถึง 190,000 คน
คำถามที่ตามมา คือ คนที่ ‘ไม่สูบบุหรี่’ ถึงกลายเป็นผู้ถูกเลือกเพิ่มขึ้น จริงหรือไม่? The MATTER รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์
[สถานการณ์ของโรคมะเร็งปอด]
ย้อนไปดู ข้อมูลทะเบียนมะเร็ง ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2564 ระบุว่า โรคมะเร็งที่พบมากที่สุด 5 อันดับ คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก
สอดคล้องกับที่ นพ.ธเนศ เดชศักดิพล อาจารย์ประจำสาขามะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล พูดเอาไว้ในเวทีบรรยายสัปดาห์มะเร็งโลกช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ว่าโรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนไทย ราว 60% ของผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต
ขณะที่ โรคมะเร็งปอดถูกจัดให้เป็นอันดับ 3 ในกลุ่มโรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนทุกเพศ อย่างไรก็ดี แนวโน้มผู้ป่วยในอนาคต อาจเสียชีวิตน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นมากขึ้น
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด การสูบบุหรี่ยังคงเป็นปัจจัยหลักก่อโรค รวมถึงมะเร็งชนิดอื่นๆ โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดมากกว่าถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ รองลงมา คือ ควันบุหรี่มือสอง การทำงานในอุตสาหกรรมที่มีสารก่อมะเร็ง พันธุกรรม รวมถึงสภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองพิษ
[เป็นไปได้ไหม ที่คนไม่สูบบุหรี่จะป่วยแซงหน้า?]
ไม่นานมานี้ มีการศึกษาเบื้องต้นที่ชี้ว่า ฝุ่น PM2.5 ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้มากถึง 1–1.4 เท่า ซึ่งถือว่ามีความเทียบเท่ากับเสี่ยงรุนแรงการสูบบุหรี่ จึงเป็นจุดตั้งต้นข้อถกเถียงถึงโอกาสก่อโรคของปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ว่ามากน้อยเพียงใด
“ถ้าจะถึงขั้นว่าคนไม่สูบบุหรี่ จะเป็น(มะเร็งปอด) มากกว่าคนสูบบุหรี่ อาจจะผิดพลาดไปนิดนึง” เป็นคำยืนยันของ นพ.ธเนศ ด้วยข้อมูลสถิติยังคงบ่งชี้ว่า ณ ปัจจุบัน บุหรี่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด
ทั้งนี้ ฝุ่น PM2.5 ก็ยังเป็นปัจจัยที่ยังเป็นข้อสันนิษฐานที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสาเหตุก่อโรคถูกจำแนกเป็น 2 กลุ่ม คือ ป้องกันได้ และป้องกันไม่ได้ ดังนั้นการเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง จึงเป็นข้อแนะนำเบื้องต้นของผู้เชี่ยวชาญ
“เมื่อเราสันนิษฐานว่ามะเร็งปอดเกิดจากฝุ่นเล็กๆ มาก ถ้าเราหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงพวกนี้ได้โอกาสเกิดโรคก็จะลดลง แต่ถามว่าป้องกันได้ไหม คงลำบาก ”
[มายาคติของโรคคนแก่]
แม้ยังไม่มีรายงานสถิติแนวโน้มคนอายุน้อยเป็นมากขึ้น แต่ข้อมูลจาก Thaihealth Watch พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น 2.4 เท่าในรอบ 10 ปี (ปี 2552 – 2561) โดยเฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุด 15 คนต่อ 1 แสนคน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า
ครั้งหนึ่ง The MATTER มีโอกาสคุยกับ นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ เคยอธิบายถึงความสัมพันธ์ของโรคมะเร็งกับอายุเอาไว้น่าสนใจ
“อุบัติการณ์ของมะเร็งเริ่มพบสัดส่วนในคนอายุน้อยลง ในหลายชนิดมะเร็งจริง” เป็นคำยืนยันของ นพ.มานพ ว่าภาพสะท้อนผ่านโซเชียลมิเดียที่มีคนอายุน้อยป่วยเป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องเกินจริง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ ซึ่งสัดส่วนโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย เป็นผลจาก 2 ปัจจัย คือ
– การคัดกรอง ด้วยในปัจจุบันความสนใจที่จะทำการคัดกรองมีมากขึ้น ทั้งวิธีทั้งตรวจแมมโมแกรม ตรวจอัลตราซาวด์ รวมถึงการส่องกล้อง ทำให้พบผู้ป่วยมะเร็งรวดเร็วขึ้น
นพ.มานพ ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโอกาสเสี่ยงที่จะพบโรคมะเร็งจะเพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ เป็นที่มาของเกณฑ์ช่วงอายุเข้าข่ายการคัดกรอง แต่เมื่อแนวโน้มผู้ป่วยมีอายุลดลง จึงทำให้ข้อแนะนำการตรวจโรคต้องปรับปรุงตาม “โอกาสเจอก็จะเร็วขึ้น มันก็นับยอดเข้าไป คนที่เป็นก็จะยิ่งอายุน้อยลง”
– รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ทั้งอาหารการกิน การใช้ฮอร์โมน ความอ้วน ความเครียด เป็นต้น
เช่นนี้แล้ว มะเร็งยังเป็นโรคคนแก่อยู่อีกหรือไม่? หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ อธิบายถึงมายาคติดังกล่าวไว้น่าสนใจ “มะเร็งเป็นโรคคนแก่อาจจะจริง ตรงที่อายุเพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งสูงขึ้น พอคนเราอายุยืนขึ้นอุบัติการณ์ของมะเร็งก็จะสูงขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่ามะเร็งเป็นโรคที่เกิดเฉพาะคนแก่ คนอายุน้อยก็มีสัดส่วนของการเป็นมะเร็งสูงขึ้นด้วย”