เมื่อวานนี้ (27 มิถุนายน 2024) นับเป็นการประชันวิสัยทัศน์ (debate) ของผู้ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรก ที่รัฐจอร์เจีย ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) อดีตประธานาธิบดี แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกัน (Republican Party) กับ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จากพรรคพรรคเดโมแครต (Democratic Party)
การดีเบตครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 90 นาที โดยไมโครโฟนของอีกฝ่ายจะถูกปิดขณะที่อีกคนพูด และห้ามนำอุปกรณ์หรือสคริปต์ที่เขียนล่วงหน้าขึ้นเวทีด้วย ซึ่งทั้งสองจะได้รับเพียงปากกาและกระดาษเท่านั้น จุดประสงค์ของการดีเบตครั้งนี้ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้แสดงวิสัยทัศน์ของตัวเองหากชนะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผ่านหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น การทำแท้ง ภาษี ผู้อพยพ หรือนโยบายต่างประเทศ
หากดูภาพรวมของการประชันวิสัยทัศน์ครั้งนี้ สำนักข่าวเดอะการ์เดียน (The Guardian) ให้ความเห็นว่า ไบเดน “ทำได้ไม่ดี” เนื่องจากเขาเป็นผู้ท้าทายให้ทรัมป์มาร่วมดีเบต แต่กลับตอบโต้ด้วยเสียงแหบแห้งและแผ่วเบา และหลายครั้งดูจิตใจล่องลอย จนอาจทำให้ประชาชนอาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับอายุที่มากขึ้น และอาจกระทบถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งของเขา
ส่วนทรัมป์ “โกหกไม่รู้จบ” กล่าวคือในหลายประเด็นที่ทรัมป์ใช้โต้เถียง เมื่อสำนักข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริง (factcheck) กลับพบข้อบกพร่องอยู่มาก
ยกตัวอย่างกรณีที่ผ่านมา (30 พฤษภาคม 2024) ทรัมป์ถูกคณะลูกขุนของรัฐนิวยอร์กตัดสินว่าความผิดทางอาญาร้ายแรง (felony) ถึง 34 ข้อหา ฐานปลอมแปลงหลักฐานทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินเพื่อปิดปากความสัมพันธ์ลับกับดาราหนังโป๊ สตอร์มี แดเนียลส์ (Stormy Daniels) แม้ว่าจะมีพยานและหลักฐานที่ทำให้คณะลูกขุนตัดสินไปเช่นนั้น แต่ในดีเบตครั้งนี้ทรัมป์กลับกล่าวว่า “ฉันไม่ได้มีเซ็กส์กับดาราหนังโป๊” และปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง
อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นที่สนใจอย่างมากคือ วิสัยทัศน์ต่อสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ของผู้ลงสมัครทั้งสอง ที่หลายฝ่ายมองว่าประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะสามารถกำหนดทิศทางของสงครามที่ดำเนินยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ได้
หากย้อนกลับไป ทรัมป์เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์บุกยูเครน ของ วลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซียว่าเป็นยุทธวิธีที่ ‘อัจฉริยะ’ และในดีเบตครั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดี เหตุการณ์ที่รัสเซียบุกยูเครนจะไม่เกิดขึ้น โดยเขาอ้างว่า “เขา (ปูติน) รู้ตัวว่าไม่ควรเล่นเกมกับฉัน”
ทรัมป์กล่าวต่อว่าเขาสามารถ ‘ยุติ’ สงครามได้ หากได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดว่าเขาจะบรรลุผลลัพธ์ดังกล่าวได้อย่างไร
“เขาสังหารผู้คนไปหลายพันคน” คือคำพูดที่ไบเดนโต้กลับ พร้อมกับเรียกปูตินว่าเป็น ‘อาชญากรสงคราม’ และกล่าวต่อว่ารัสเซียจะไม่หยุดอยู่แค่ที่กรุงเคียฟ (Kyiv) หรือเมืองหลวงของยูเครน ที่ปูตินตั้งเป้าจะยึดครอง หากเขาชนะสงครามครั้งนี้
นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลของไบเดนได้ให้การสนับสนุน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskiy) ประธานาธิบดียูเครนมาอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารและการเงินรายใหญ่ที่สุดเพียงรายเดียวแก่กรุงเคียฟ โดยให้เงินสนับสนุนก้อนล่าสุด สูงถึง 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2 ล้านล้านบาท
ในประเด็นนี้ ทรัมป์เรียกเซเลนสกี ว่า ‘นักขายมือหนึ่งของโลก’ เนื่องจากทรัมป์มองว่ายูเครนได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมากในสงครามดังกล่าว
แม้ว่าที่ผ่านมา จะมีความพยายามบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรัสเซียกับยูเครน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับชายแดนทั้งสองประเทศที่ชัดเจน
“เขา (ไบเดน) จะพาเราเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 และขณะนี้พวกเราเข้าใกล้สงครามโลกครั้งที่ 3 เกินกว่าใครจะเคยจินตนาการได้” ทรัมป์วิจารณ์การบริหารนโยบายต่างประเทศของไบเดน ที่เขามองว่าจวนจะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งใหม่
“ถ้าคุณต้องการสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ปล่อยให้เขาชนะ” ไบเดนตอบโต้ทรัมป์ และกล่าวต่อว่า “ปล่อยให้ปูตินเดินหน้ายึดกรุงเคียฟไปซะ […] แล้วคุณจะได้พบสงครามจริงๆ”
สำนักข่าวหลายแห่งให้ความเห็นว่าผู้ลงสมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองคนมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในประเด็นการจัดการสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน แน่นอนว่าวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป
จะส่งผลต่อความเป็นไปของระบบระหว่างประเทศต่อจากนี้ และยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองต่อไป
อ้างอิงจาก