จากเหตุการณ์ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) กลางเวทีปราศรัยในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย จนทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมเสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บสาหัสอีก 2 ราย ขณะที่ทรัมป์ได้รับบาดเจ็บและถูกนำตัวออกจากเวทีปราศรัยทันทีก่อนที่จะมีเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องหลายนัด
คำถามสำคัญคือ แล้วหลังจากนี้ การเมืองสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร? สื่อในสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า ตอนนีัสังคมอเมริกันกำลังติดอยู่ในสภาวะที่มีความมั่นคง และไม่มีความมั่นคงไปพร้อมๆ กัน โดยมีความมั่นคงในแง่ที่ว่ามีการแบ่งพรรคพวกที่ชัดเจนและดูจะไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ ขณะที่มันก็ไม่มั่นคงในแง่ที่ว่าความแตกแยกเหล่านั้นกำลังเพิ่มและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคุกคามต่อศรัทธาในประชาธิปไตยของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนถึง ‘ความรุนแรงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น’ ยิ่งผู้คนเกลียดและกลัวคู่ต่อสู้ทางการเมืองมากเท่าใด พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะออกจากกรอบกฎหมายเพื่อหยุดยั้ง (บุคคลที่พวกเขาเกลียด) มากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อฝ่ายหนึ่งถูกโจมตี อีกฝ่ายก็จะมีแนวโน้มที่จะโต้ตอบมากขึ้น ทว่าความน่ากลัวที่สุดของสถานการณ์นี้คือวงจรความรุนแรงที่คล้ายกับ ‘Years of Lead’ ของอิตาลี ที่เริ่มต้นในปี 1969 โดยกองกำลังติดอาวุธฝั่งซ้ายสุดโต่ง และขวาสุดขั้ว ที่ก่อเหตุระเบิดและลอบสังหารกัน
แซ็ค โบชอม (Zack Beauchamp) ผู้สื่อข่าวจาก VOX เขียนไว้ว่า “สำหรับสหรัฐฯ แล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดี เป็นเหมือน ‘จุดวาบไฟ’ มากที่สุด”
อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ทราบว่ามือปืนที่ลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีมีแรงจูงใจมาจากอะไร หรือคับข้องใจอะไรทางการเมือง สิ่งนี้อาจเป็นเหมือนเหตุการณ์ของ โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่โดนลอบสังหารโดยชายที่ถูกตัดสินในภายหลังว่ามีสติไม่สมประกอบ
ถึงอย่างนั้น ‘ความเสี่ยง’ ที่เพิ่มขึ้นระหว่างการเลือกตั้งก็ชัดเจนยิ่งขึ้น และคาดเดาผลที่ตามมาได้ยาก
“ไม่ใช่ว่าความเป็นผู้นำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะน่าเชื่อถือเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเสียงสนับสนุน ‘โจ ไบเดน’ (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และกำลังต่อสู้เพื่อรักษาบทบาทของเขาในฐานะแคนดิเดต
ตอนนี้ทรัมป์กำลังตกเป็นเหยื่อ แต่เขายังคงเป็นคนเดิมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ไบเดนเป็นผู้นำที่มั่นคงแต่อยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ในการรับมือกับวิกฤติ ขณะที่ทรัมป์เป็นกลุ่มปลุกปั่นที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความตึงเครียด มากกว่าที่จะลดความตึงเครียด
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นภาพว่า ถึงแม้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ทั้งเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดและทรงอำนาจที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่กลับเต็มไปด้วยความแตกแยกภายในที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามกลางเมือง
อ้างอิงจาก