การเมืองสหรัฐฯ กำลังเป็นไปด้วยความดุเดือด กับเวทีแรกของการดีเบต โต้วาทีของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ผู้ลงชิงตำแหน่งสมัยที่ 2 และ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต อดีตรองประธานาธิบดีในสมัยบารัค โอบามา ซึ่งทั้งคู่ก็ได้มาเชือดเฉือนวาทะกัน ท่ามกลางสถานการณ์สังคมของสหรัฐฯ ที่ประเด็นต่างๆ กำลังถูกพูดถึง
การดีเบตครั้งนี้ มีเวลาทั้งหมด 90 นาทีเต็ม โดยไม่มีโฆษณาขั้น โดยมี คริส วอลเลส จาก ‘Fox New Sunday’ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยจากการรับชมดีเบตตลอด 90 นาทีนั้น จะเห็นได้ว่า ทรัมป์มักจะพูดว่า การทำงานของเขาในสมัยที่ผ่านมานั้น ดีกว่าไบเดนเป็นไหนๆ และเขาคิดว่าไบเดนไม่มีทางทำได้ดีเท่าเขา โดยในช่วงนีงเขาได้พูดว่า “การทำงานในช่วง 47 เดือนของผม ดีกว่าที่ไบเดนทำมาตลอด 47 ปี” ขณะที่ไบเดนเอง ก็มักจะพูดว่า เขาคิดว่า “ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้มีแผนการอะไรเลย”
ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิจารณ์หลายคน มองว่าการดีเบตครั้งนี้ เป็นความปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะผู้ชิงตำแหน่งทั้งคู่ ต่างก็ถกเถียง โจมตี และพูดแทรกระหว่างกันขณะที่อีกฝ่ายพูด จนแม้แต่วอลเลส ผู้ดำเนินรายการเอง ก็มักต้องห้ามปรามด้วยประโยคว่า หยุดพูดแทรกกันได้แล้ว และเขาเองเป็นผู้ดำเนินรายการ ไม่ต้องการเป็นคู่ดีเบตของทั้งคู่ด้วย ซึ่งบนเวทีนี้ทั้งคู่พูดอะไรกัน เราสรุปมาให้แล้ว
ศาลฎีกาสูงสุดของสหรัฐฯ และระบบประกันสุขภาพ
การดีเบตนี้ เริ่มต้นด้วยประเด็นของศาลฎีกาสูงสุดของสหรัฐฯ (The Supreme Court) ซึ่งทรัมป์เพิ่งเสนอชื่อ ‘เอมี โคนีย์ บาร์เร็ตต์’ เป็นฝ่ายอนุรักษ์สังคม ให้เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ แทนที่ รูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ผู้พิพากษาฝ่ายเสรีนิยม ที่เพิ่งเสียชีวิตไป โดยทรัมป์ได้อ้างสิทธิการชนะเลือกตั้งปี ในปี 2016 เขามีวุฒิสภา ทั้งการเลือกตั้งมีผล 4 ปี ไม่ใช่แค่ 3 ปีครึ่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องรอการแต่งตั้งด้วย
ด้านไบเดนเองมองว่า การเลือกตั้งในปี 2020 เริ่มขึ้นแล้ว มีประชาชนที่เริ่มโหวตแล้ว ดังนั้นควรรอจนกว่าการเลือกตั้งจะสิ้นสุด รอผลการเลือกตั้งและค่อยแต่งตั้งด้วย ทั้งการเสนอชื่อบาร์เร็ตต์ ยิ่งแสดงถึงความพยายามจะยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งทรัมป์ก็ไม่ได้พูดถึงประกันสุขภาพ แต่พูดถึงการทำเขาทำสัญญาลดราคายาของเขา และโจมตีไบเดนว่า เดโมแครตต้องการเปลี่ยนกฎหมายระบบประกันสุขภาพให้เป็นสังคมนิยม ซึ่งจุดยืนของไงเดนเองต้องการขยายกฎหมายดูแลสุขภาพ ให้ประชาชนเข้าถึงแผนสุขภาพของรัฐด้วย ขณะที่เขาก็โจมตีทรัมป์ว่า การยกเลิกแผนประกันสุขภาพของทรัมป์ทำให้เห็นถึงผลในช่วงที่โรคระบาด
การจ่ายภาษี
ด้วยข่าวล่าสุด ที่ The New York Times เปิดเผยถึงการจ่ายภาษีของทรัมป์ว่า เขาจ่ายภาษีเงินได้ให้กับรัฐบาลกลางเพียงแค่ 750 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 23,700 กว่าบาท ในปีที่ชนะเลือกตั้ง และในปีแรกที่เขาได้เข้าไปในทำเนียบขาว ทำให้แน่นอนว่า การดีเบตครั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการได้ถามเขาถึงเรื่องการจ่ายภาษี
ทรัมป์เองได้ตอบเรื่องนี้ว่า เขาได้จ่ายภาษีปีละหลายล้านดอลล่าร์ และสัญญาว่าจะเปิดเผยมัน แต่เขาก็ยอมรับว่า “ผมไม่ต้องการจ่ายภาษี” และ “เช่นเดียวกับนักธุรกิจส่วนตัวคนอื่นๆ เว้นแต่พวกเขาจะโง่ พวกเขาก็ทำตามกฎหมาย” ส่วนด้านไบเดนเอง ก็เรียกร้องให้ทรัมป์เปิดเผยรายละเอียดออกมา และยังกล่าวว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำเป็นเรื่องน่าเกลียด เพราะเขาจ่ายภาษีน้อยกว่าคุณครู ถึงขั้นพูดถึงทรัมป์ว่า “คุณเป็นประธานาธิบดีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา”
COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจ
วิกฤต COVID-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกประเด็นนึง ที่ทั้งคู่ถูกถาม ซึ่งทรัมป์ก็ได้โยนว่า การระบาดของไวรัสเป็นความผิดของจีน แต่การจัดการปัญหาโรคระบาดของเขาดีที่สุด ซึ่งผู้ว่าการรัฐฯ หลายคนเองก็ได้เอ่ยชมด้วยว่า “ปธน.ทรัมป์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาก” และเขาคิดว่าถ้าเป็นไบเดนนั้น จะไม่สามารถทำดีได้เท่าเขาด้วย
ทรัมป์ยังมองว่าวัคซีนจะมาได้อย่างเร็ว อาจจะก่อนการเลือกตั้ง และไม่เห็นด้วยกับแพทย์ที่มองว่า วัคซีนจะแจกจ่ายได้ปีหน้า โดยเขามองว่าวัคซีนได้กลายเป็นเรื่องการเมือง นอกจากนี้เขายังอ้าง (อย่างไม่ถูกต้อง) ว่าสหรัฐฯ มีอัตราการเสียชีวิตในกรณีที่ต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศใหญ่ๆ ในโลก รวมถึงยืนยันว่า นโยบายเปิดประเทศ เปิดธุรกิจ และเปิดโรงเรียนของเขาเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ “ผมต้องการเปิดมัน ในขณะที่ไบเดน ต้องการชัตดาวน์ประเทศนี้” ทรัมป์กล่าว
ด้านไบเดนเอง ก็ชี้ว่า เขาไม่เชื่อถือ ปธน.ทรัมป์ แต่เชื่อนักวิทยาศาสตร์มากกว่า และโจมตีว่าการจัดการการแพร่ระบาดของทรัมป์ล้มเหลว มีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการล่าช้าในการจัดการ การปิดประเทศ รวมถึงการประกาศให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งหากทรัมป์เชื่อแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์เร็วกว่านี้ ก็คงมีอีกหลายคนที่ไม่ต้องเสียชีวิต
นอกจากนี้ ยังมีการยกประเด็นเรื่องการจัดแคมเปญหาเสียงในหลายรัฐของทรัมป์ช่วงต้นปี ซึ่งมีประชาชนมารวมกลุ่มจำนวนมาก โดยไม่ใส่หน้ากาก ซึ่งไบเดนมองว่าไม่ปลอดภัย รวมถึงนโยบายการกลับมาเปิดธุรกิจต่างๆ ที่ทรัมป์ผลักดัน ยังเป็นความเสี่ยงด้วย ไบเดนได้กล่าวว่า “คุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ถ้าไม่แก้ปัญหา COVID-19”
ปัญหาเชื้อชาติ และความรุนแรงในเมืองต่างๆ
Black lives matter และการชุมนุมของประชาชนเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติที่เกิดขึ้นตลอดปีนี้ของสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งประเด็นร้อนที่ต้องมาการนำมาพูดถึงในระดับผู้นำประเทศ ซึ่งไบเดนเองชี้ว่า ปธน.ทรัมป์เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติที่ต้องการเห็นการแบ่งแยกกันภายในชาติ มากกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน และทรัมป์ไม่เคยทำอะไรเพื่อชาวแอฟริกันอเมริกันเลย โดยไบเดนอ้างสถิติการเสียชีวิตจาก COVID-19 ของชาวแอฟริกันอเมริกันว่า “1 ในชาวแอฟริกันอเมริกัน 1,000 คน เสียชีวิตเพราะ COVID-19” ทั้งยังพูดถึงการจัดการผู้ชุมนุม Black lives matter ในหลายเมืองที่เป็นไปอย่างสันติ แต่ทรัมป์ก็ได้ใช้กำลังปราบปราม ซึ่งทรัมป์ก็โต้ตอบว่า เขาไม่ได้มองว่าการชุมนุมเหล่านั้นสันติ เพราะมีก่อจลาจล
ทั้งทรัมป์ยังปฏิเสธที่จะประณามกลุ่มผิวขาวสุดโต่ง หรือ White supremacist ว่าเป็นกลุ่มความรุนแรง และบอกว่าสิ่งที่เห็นเป็นความรุนแรง จากฝ่ายซ้ายมากกว่าฝ่ายขวาด้วย ซึ่งประเด็นนี้ทำให้เกิดการโจมตีเขาในภายหลัง และตัวไบเดนเองก็ได้พูดในระหว่างโต้วาทีว่า ทรัมป์เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ
นอกจากนี้ วอลเลสยังถามถึงการตัดสินใจยุติโครงการฝึกอบรมเพื่อลดปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ และแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่คนขาวได้รับสิทธิพิเศษ ซึ่งทรัมป์ก็ตอบประเด็นนี้ว่า งบประมาณส่วนนี้เป็นเรื่องไร้สาระด้วย
ประเด็นนี้ ทรัมป์ยังได้โจมตีไบเดนกลับด้วยการยกผลงานนโยบายกฎหมายอาชญากรรมปี 1994 ของไบเดนว่า เป็นผลทำให้คนดำถูกจับขังคุกมากขึ้น ขณะที่สิ่งที่เขาทำ คือการปล่อยคนดำออกมาจากคุก ผ่านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เขาทำในระหว่างดำรงตำแหน่ง “คุณเองปฏิบัติต่อชุมชนคนดำอย่างเลวร้ายไม่แพ้ใครในประเทศนี้” ทรัมป์โจมตีไบเดน
ภาวะโลกร้อน
ผู้ดำเนินรายการได้ถามถึงมุมมองของผู้สมัครทั้งสอง ถึงภาวะโลกร้อน โดยถามทรัมป์ว่า เขาเชื่อเรื่องสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไหม ซึ่งเขาก็ได้หลีกเลี่ยงการตอบ แต่ไปตอบว่า ผมต้องการน้ำที่สะอาด อากาศที่บริสุทธ์ และชี้ว่า ปัญหาไฟป่าแคลิฟอร์เนียมาจากการจัดการที่ไม่ดี รวมถึงโจมตี แผนสภาพภูมิอากาศของไบเดนก็ใช้เงินมหาศาล และแผนของเขาซ้ายจัดด้วย
ซึ่งไบเดนเอง ก็ตอบโต้ว่า เขาไม่ได้สนับสนุน Green New Deal หรือแผนซ้ายจัดของเบอร์นี แซนเดอร์ส แต่เขามีแผนสภาพภูมิอากาศของเขา ที่รวมถึงการลงทุนของรัฐบาลกลางในด้านพลังงานหมุนเวียน และเขาคิดว่าแผนนี้จะสร้างงานให้กับคนจำนวนมาก ทั้งไบเดนยังโจมตีว่าทรัมป์ล้มเหลวกับการจัดการกับสิ่งแวดล้อม ชานเมืองมีประชาชนถูกน้ำท่วม ถูกไฟไหม้เนื่องจากทรัมป์ไม่ยอมทำอะไรเลย
การเลือกตั้ง
ในประเด็นของการเลือกตั้ง วอลเลสได้ถามทั้งคู่ว่า เวลาก่อนการลงคะแนนอีก 5 สัปดาห์ที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ พวกเขาจะทำอะไรบ้าง ซึ่งไบเดนเองก็บอกว่าให้ไม่ว่าอย่างไร ก็ขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะลงคะแนนเสียงด้วยวิธีไหนก็ตาม ทั้งยังชี้ว่าไม่มีหลักฐานว่าการโหวตผ่านไปรษณีย์เป็นการโกง แต่เป็นทรัมป์ที่พยายามอ้างเพื่อไม่ให้ประชาชนลงคะแนนโดยสะดวกด้วย
ทรัมป์เองก็ชี้ในจุดนี้ว่า เขาไม่ยอมรับการลงคะแนนผ่านไปรษณีย์ เพราะมองว่าเป็นเหมือนการทุจริต โดยเฉพาะการนับคะแนนที่อาจจะล้าช้าหลังการเลือกตั้ง โดยเขากล่าวว่า “นี่จะเป็นการทุจริตครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
สุดท้ายแล้วเมื่อผู้ดำเนินรายการขอให้ทั้งคู่พูดถึงเรื่องการประกาศชัยชนะ ไบเดนเองได้สัญญาว่าเขาจะไม่ประกาศชัยชนะก่อนที่การนับคะแนนจะเสร็จสิ้น ขณะที่ทรัมป์ปฏิเสธการให้สัญญา แต่ทั้งคู่ก็ยอมรับว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งด้วย
นอกจากประเด็นเหล่านี้ ยังมีความพยายามของทรัมป์ที่จะโจมตีลูกชายของไบเดน ในกรณีที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชันในยูเครน ซึ่งไบเดนก็ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับครอบครัวเขา แต่หากอยากพูดถึงครอบครัวของทรัมป์นั้น ก็สามารถพูดประเด็นนี้ได้ทั้งวันเลยด้วย
ตลอด 90 นาทีนี้ สำนักข่าว CNN ได้สรุปว่า ทรัมป์ได้ขึ้นโต้วาทีด้วยเวลาทั้งหมด 39.06 นาที ขณะที่ไบเดนได้พูดไปน้อยกว่าเล็กน้อยด้วยเวลา 37.56 นาที
ซึ่งผู้ชิงตำแหน่ง ปธน.ทั้ง 2 นี้ จะมีคิวพบกันในการดีเบตอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 15 ต.ค. และ 22 ต.ค. ที่จะถึงนี้ ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.นี้ โดยทั้งคู่จะโต้วาทีอะไรกันต่อไป เราคงต้องติดตามกัน