อีก 4 วัน ‘คดีตากใบ’ จะหมดอายุความ หลังเหตุการณ์ผ่านมา 20 ปี และยังไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐแม้แต่คนเดียวที่ถูกลงโทษตามกฎหมาย
นับตั้งแต่ศาลนราธิวาส ‘รับฟ้อง’ คดีตากใบ ที่ชาวบ้านรวมตัวกันฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2567 จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีผู้ต้องหาปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2567 คดีก็จะหมดอายุความลง
นำมาซึ่งคำถามสำคัญที่ว่า ‘อายุความ’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาในกฎหมายไทยนั้น มีไปทำไม และเป็นปัจจัยที่กระทบต่อความยุติธรรมที่ผู้เสียหายควรได้รับหรือไม่?
วันที่ 20 ตุลาคม 2567 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ’“คดีอาญาตากใบขาดอายุความ : ความรับผิดชอบใคร จะดำเนินคดีต่อได้หรือไม่?’ ณ ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งส่วนหนึ่งได้มีการอธิบายถึงเรื่องอายุความ
รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มต้นโดยการกล่าวถึงประเด็นสำคัญในเรื่องการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุม โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายในการสลายการชุมนุม หรือจับกุมผู้กระทำผิดหากเข้าเกณฑ์แนวปฏิบัติต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องคำนึงถึงพื้นฐานเรื่อง ‘สิทธิมนุษยชน’
ดังนั้น การจับทรมาน และมีการย่ำยีศักดิ์ศรี จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างยิ่ง แม้จะเป็นการใช้อำนาจผ่านกฎหมายเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมืองก็ตาม ยกตัวอย่างเหตุการณ์ตากใบ ที่มีทั้งการสลายการชุมนุมโดยใช้แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง และกระสุนจริง รวมถึงมีการขนย้ายผู้ชุมนุมที่ไม่เหมาะสม
ในปัจจุบันนี้ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะดังกล่าว ในปี 2565 ได้เริ่มบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ที่สรุปง่ายๆ ได้ว่า เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทรมาน การกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรี และการบังคับให้ผู้อื่นเป็นบุคคลสูญหาย หรือที่เรียกกันว่า การอุ้มหาย
อย่างไรก็ดี ตามหลักทางกฎหมาย กฎหมายที่ออกมาใหม่จะไม่สามารถบังคับใช้ย้อนหลังกับเหตุการณ์หรือคดีที่เกิดไปแล้วได้ เว้นแต่จะเป็นคุณต่อผู้ต้องหา ดังนั้น การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์ตากใบเมื่อ 20 ปีก่อน จึงจะไม่ได้ถูกลงโทษตามกฎหมายนี้
ประเด็นถัดมา คือเรื่องการขาดอายุความในทางกฎหมาย ปกป้องอธิบายว่า ‘อายุความ’ นั้น ถูกกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 ที่ระบุว่า “ในคดีอาญา ถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำความผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้ นับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ” โดยกำหนดอายุความไว้ที่สูงสุด 20 ปี รวมถึงคดีตากใบ ที่เป็นคดีฆ่าผู้อื่น
สรุป ได้ว่า สำหรับกฎหมายไทย อายุความจะสิ้นสุดลง หาก ‘ไม่มีการฟ้อง’ และ ‘จำเลยไม่มาศาล’ นั่นเอง ซึ่งคดีตากใบในปัจจุบันมีคำสั่งฟ้องแล้ว แต่ไม่พบผู้ต้องหามารายงานตัวแม้แต่รายเดียว
ทั้งนี้ ปกป้องระบุว่า เรื่องอายุความ ไม่ได้ถือเป็นหลักสากลแต่อย่างใด จากทั้งโลก จะแบ่งประเทศต่างๆ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเทศที่มีกำหนดอายุความคดีต่างๆ และประเทศที่ไม่มีการกำหนดอายุความ
ประเทศที่มีกำหนดอายุความ ตัวอย่างเช่น ประเทศฝรั่งเศส ประเทศต่างๆ ในยุโรป รวมถึงไทย มีการกำหนดอายุความในทุกฐานความผิดของคดีอาญา โดยเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้พยานหลักฐานมีความสมบูรณ์แน่นอน ไม่สูญหาย และเพื่อเร่งรัดกระบวนการยุติธรรม
ในขณะที่ประเทศที่ไม่มีกำหนดความอายุความ จะหมายถึงไม่มีอายุความสำหรับคดีที่มีความผิดร้ายแรง เช่น คดีฆาตกรรม ดังนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรนับจากวันที่ความผิดเกิดขึ้น ถ้าหากรวบรวมหลักฐานได้ ก็สามารถดำเนินคดี และจับผู้ต้องหาได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งที่ทั่วโลกยึดถือร่วมกัน ตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่ระบุว่า คดีที่จะไม่มีอายุความ คือความผิดคดีอาญาร้ายแรงที่สุด 4 ฐานความผิด อันได้แก่ อาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมรุกราน
ทั้งนี้ แม้จะมีประเทศที่มีการกำหนดอายุความเหมือนกับไทย แต่ในรายละเอียดกลับมีวิธีการนับที่แตกต่างกัน
ในประเทศฝรั่งเศส กฎหมายกำหนดให้อายุความสะดุดหยุดลงได้ โดยเมื่อมีการดำเนินคดีในชั้นตำรวจ อัยการ ศาล อายุคววามจะสะดุดหยุดลงทุกครั้ง กล่าวคือ หากพนักงานอัยการสั่งฟ้อง อายุความก็จะสะดุดหยุดลง และเริ่มนับเวลา 20 ปีใหม่ หรืออย่างในประเทศญี่ปุ่น กำหนดไว้ว่าหากผู้ต้องหาหลบหนี ให้หยุดนับอายุความได้ ในขณะที่ไทยต้องมีองค์ประกอบ 2 อย่างอายุความจึงจะหยุดลงได้ คือต้องทั้งสั่งฟ้อง และจำเลยจะต้องมาศาลด้วย
‘อายุความ’ จึงกลายมาเป็นประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงว่า สมควรหรือไม่ที่ไทยจะใช้กฎหมายบังคับเรื่องอายุความต่อไป โดยมีข้อวิจารณ์ว่าเป็นการทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้าถึงคามยุติธรรมได้จริง เนื่องจากหากขาดอายุความเมื่อไร คดีนั้นๆ ก็จะไม่มีการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดอีกต่อไป
ปกป้องเสนอความเห็นว่า เพื่อจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อำนาจฝ่ายต่างๆ จะต้องร่วมมือกัน
สำหรับฝ่ายนิติบัญญัติ หากจะให้ออกกฎหมายแก้ไขเรื่องอายุความภายใน 4 วันนี้ก่อนคดีตากใบจะหมดอายุความ ก็เรียกได้ว่า ‘ เป็นไปไม่ได้’
นอกจากนั้น ในด้านของฝ่ายตุลาการ แนวคำพิพากษาของศาลฎีกาในอดีต ได้ตีความเรื่องอายุความเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายอาญา ซึ่งกฎหมายอาญามีหลักการกำหนดไว้ว่า กฎหมายใหม่นั้นจะไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง เว้นแต่จะเป็นคุณกับผู้กระทำผิด ดังนั้น แม้จะมีกฎหมายแก้อายุความให้ทันเวลาได้จริง ก็จะไม่ย้อนกลับไปใช้กับผู้กระทำความผิดก่อนที่กฎหมายนี้จะออกอยู่ดี
ในขณะที่ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป มองเรื่องอายุความต่างออกไป โดยเห็นว่าเรื่องอายุความไม่ใช่เรื่องทางกฎหมายอาญา ดังนั้นหากมีการแก้ไขกฎหมายเรื่องอายุความเสียใหม่และตีความเช่นนี้ ก็จะมีผลใช้ได้ทันทีกับคดีที่ยังไม่ขาดอายุความ เพราะไม่ถือว่ากระทบสิทธิผู้ต้องหา แต่ถ้าหากกฎหมายออกหลังคดีนั้นๆ หมดอายุความไปแล้ว จะไม่มีผลย้อนหลังเช่นเดิม
แนวคำพิพากษา และการตีความของศาลฎีกา จึงถือเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยยืดอายุให้คดีตากใบยังได้ไปต่อ รวมถึงคดีอื่นๆ ที่อายุความยังคงดำเนินไปอยู่ในตอนนี้เช่นกัน
ในโค้งสุดท้ายก่อนถึงเส้นตายคดีตากใบ ก่อนหมดวันที่ 25 ตุลาคม 2567 จึงจะต้องติดตามต่อไปว่ารัฐบาลจะมีแนวทางการจัดการอย่างไรต่อไป เจ้าหน้าที่จะตามตัวผู้ต้องหามาได้สำเร็จหรือไม่ ซึ่งจะกลายเป็นผลของความยุติธรรมที่ชาวบ้านตากใบจะได้รับในท้ายที่สุด
อ้างอิงจาก
#ตากใบ #อายุความ #TheMATTER