‘ถูกฝั่งจำเลยข่มขู่ว่าจะฟ้องคดีทางการเมือง จนต้องยอมถอนฟ้องคดีที่ดำเนินการอยู่’ ?
กรณีของนักร้องดังที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ นอกเหนือจากข้อขัดแย็งในประเด็นส่วนตัวต่างๆ แล้ว หนึ่งในประเด็นที่คนทั่วไปให้ความสนใจมากที่สุด คือการที่มีการอ้างว่าเขาถูกญาติฝั่งจำเลยข่มขู่ว่าจะฟ้องคดี ม.112 จนต้องยอมถอนฟ้องไป เพราะกังวลว่าอาจมีความผิดจนต้องเข้าคุก
ที่ผ่านมา มีข้อถกเถียงว่ามาตรา 112 เป็นกฎหมายที่มีปัญหาในตัวเองหลายด้าน รวมถึงกลายเป็นเครื่องมือปิดปากและกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ทั้งฟ้องคู่แข่งทางการเมือง ฟ้องญาติเพื่อให้ตัวเองได้รับมรดก จนมาถึงการขู่ฟ้องโจทก์เพื่อให้ยอมถอนฟ้องในอีกคดี
The MATTER จึงชวนมาสำรวจและทำความเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่งว่า ‘ปัญหา’ ของมาตรา 112 คืออะไรบ้าง?
- ใครฟ้องก็ได้ : เพราะมาตรา 112 เป็นความผิดในหมวดความมั่นคง คนทั่วไปจึงสามารถเป็นผู้กล่าวโทษ หรือพูดง่ายๆ คือประชาชนด้วยกันเอง เป็นคนฟ้องได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เสียหายเท่านั้น ทำให้คดี 112 อาจเกิดขึ้นได้เมื่อแค่มีคนไปแจ้งตำรวจ
ยกตัวอย่างคดีของ ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ ที่ถูกฟ้องร้องจาก ‘แชท’ ผ่านข้อความในออนไลน์ (อ่านเรื่องราวของเธอได้ที่ : https://112story.com/people/013)
ข้อมูลจาก iLaw ระบุว่า ที่ผ่านมา มีคดีที่เกิดจากการคุยกันในช่องแชทกว่า 4 คดี โดย 2 คดีแรกเกี่ยวข้องกัน จากการคุยในแชทส่วนตัวบนเฟซบุ๊ก และอีก 2 คดี มีหลักฐานเพียงการ ‘แคปแชท’ โดยพิมพ์ลงบนกระดาษเป็นหลักฐานให้กับศาล
iLaw ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธว่าไม่เคยส่ง ไม่รู้จักกลุ่มแชทที่ปรากฏในหลักฐาน แต่คาดว่าอาจถูกใส่ร้ายจากบทบาททางการเมืองในระยะเวลานั้น
ทั้งสองคนถูกพาตัวไปดำเนินการภายใต้ศาลทหาร และไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัว และต้องอยู่ในเรือนจำนานเกือบ 2 ปี และอีกคนนานถึง 3 ปี 6 เดือน จนคดีโอนมาที่ศาลปกติจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง เพราะหลักฐานที่เป็นการพิมพ์บนกระดาษอาจปลอมแปลงขึ้นมาก็ได้ ไม่มีพยานมายืนยันต่อศาลว่าเคยเห็นข้อความดังกล่าวและรู้ว่าใครเป็นคนส่งจริงๆ
ในหลายๆ ครั้ง การฟ้องด้วยมาตรา 112 ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า มันได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับกลั่นแกล้ง ทั้งต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือต่อคนที่มีความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัว
- กระบวนการและค่าเสียโอกาส : แม้สุดท้ายแล้วศาลจะยกฟ้องเพราะคดีไม่มีมูลจริง แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องเสียเวลา และค่าเสียโอกาสจำนวนไม่น้อยเพื่อสู้คดี
รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ระบุว่า บางทีการกลั่นแกล้งก็เป็นในรูปแบบของการร้องทุกข์กล่าวโทษตามท้องที่ต่างๆ ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
เช่น ผู้ถูกกล่าวหาอาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ แต่ไปถูกกล่าวหาที่เบตง ทำให้ต้องเดินทางและดำเนินเรื่องในพื้นที่ห่างไกล ทั้งเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เสียค่าทนาย เสียสุขภาพจิต และเสียเวลาหลายปีเพื่อสู้คดี
การกลั่นแกล้งแบบนี้ในทางกฎหมาย แท้จริงแล้วถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แต่กฎหมายไทยก็ยังทำอะไรกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย จนมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ
- ตีความกว้างเกินไป : มาตรา 112 ถูกตีความและบังคับใช้อย่างกว้างขวาง จนมีคำถามว่าประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการกระทำแบบใดผิดกฎหมายบ้าง
มีข้อสังเกตจาก iLaw ว่า ในมิติของบุคคลที่เข้าข่าย ตามกฎหมายครอบคลุมถึงการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ปรากฏว่าเคยมีคำพิพากษาวินิจฉัยให้ครอบคลุมถึงกษัตริย์ในอดีต หรือบุคคลอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในตัวบทกฎหมาย
และในมิติของการกระทำก็ยังมีการตีความโดยกว้าง เช่น การแต่งชุดไทยเดินแฟชั่น การสวมเสื้อครอปท็อป การแชร์โพสต์ข่าว การส่งข้อความในแชทส่วนตัว ก็อาจถือว่ามีความผิดตามมาตรา 112 ได้เช่นกัน ทำให้เกิดการกลั่นแกล้งกันดังข้อ 1 และ 2 ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้
นอกจากเรื่องการใช้ในการกลั่นแกล้งกันแล้วนั้น ปัญหาของการบังคับใช้มาตรา 112 ยังมีอีกหลายประการที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่เรื่อยๆ ทั้งโทษที่หนักและไม่ได้สัดส่วน การมีผลกระทบต่อสังคม และต่อภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์เอง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ใครควรทำอะไร เพื่อให้การปัญหาการใช้เครื่องมือกฎหมายมากลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามหมดไป?
รศ.ดร.มุนินทร์ เคยระบุว่า หากจะเรียกร้องให้ศาลยกฟ้องคดี 112 ทั้งหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องมาตรา 112 แต่กฎหมายใดก็ตาม ศาลก็ตีความมาตราเดียวไม่เหมือนกันและตัดสินผลคดีแตกต่างกัน การเรียกร้องต่อศาลเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 ในตอนนี้จึงได้แค่เรียกร้องเป็นเรื่องๆ ไป
ดังนั้น เราจึงไม่สามารถฝากความหวังไว้กับศาลให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างถอนรากถอนโคน เพราะคนที่จะแก้ปัญหาได้ถึงฐานราก คือรัฐบาลและรัฐสภา
ในที่นี้ รศ.ดร.มุนินทร์ ระบุว่า ทางออกของปัญหา อาจไม่จำเป็นต้องเป็นการยกเลิกกฎหมายเสมอไป เพียงแต่อาจจะต้องมีเจ้าภาพ ซึ่งควรเป็นรัฐบาล ที่จะสร้างเวทีขึ้นมาเพื่อพูดคุย อย่างในช่วงปี 2563 ก็เคยมีนโยบายที่ไม่บังคับใช้ ม.112 มาแล้ว ซึ่งปรากฎว่าในช่วงนั้นไม่ค่อยมีการดำเนินคดี ม.112 จริง แสดงว่าเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
อ้างอิงจาก