ตลอดปี 2566 คดี ม.112 ถูกนำขึ้นสู่กระบวนการทางศาลอย่างน้อย 83 คดี (สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 66) บางคดีศาลให้ประกันตัวระหว่างพิจารณา บางคดีศาลยกฟ้อง และบางคดีศาลพิพากษาลงโทษอย่างถึงที่สุด นำไปสู่คำถาม (อีกครั้ง) ว่าอะไรคือเกณฑ์ในการตัดสินของศาลกันแน่?
แม้ในมุมของ มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผลการตัดสินคดีในช่วงที่ผ่านมาจะแตกต่างไปจากเมื่อเทียบกับคดี ม.112 ช่วงก่อนอย่างในยุคของคดีอากง (อำพล ตั้งนพกูล) แต่หลายคำตัดสินและคำสั่งของศาล เช่น การไม่ให้ประกันตัว อานนท์ นำภา หรือ วารุณี หรือบทลงโทษในคดีครอปท็อปก็ชวนให้เลิกคิ้วสงสัยถึงเส้นแบ่งผิด-ถูกในคดีดังกล่าว
“สิ่งที่ไม่ดีและเห็นได้ชัดมากคือการไม่ให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี อันนี้เป็นปัญหามาก เพราะมีคดีที่ถูกกล่าวหาและดำเนินคดีอยู่เป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ในภาพรวมมันอาจจะมีหลายแง่มุมที่ดีขึ้น แต่ในหลายส่วนก็ไม่ดีเลย เป็นปัญหาใหญ่มากของกระบวนการยุติธรรม และเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกระบวนการยุติธรรม” อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว
เมื่อเส้นของกระบวนการทางกฎหมายในคดี ม.112 เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา The MATTER ได้นัดพูดคุยกับ มุนินทร์ ถึงแนวโน้มการตัดสินคดี ม.112 ในปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างรัฐบาลทหารและรัฐบาลเพื่อไทย ตลอดจนความคาดหวังในการแก้ไขปัญหา ม.112 อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอดีตคณบดีนิติศาสตร์ผู้นี้ยอมรับกับเราตามตรงเช่นกันว่า ‘ยังได้แต่ภาวนา’
ทำไมอาจารย์ถึงเรียกช่วงที่ผ่านมาว่า ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ’
ถ้าเราดูสถานการณ์ทางการเมืองตั้งแต่ก่อนการรัฐประหารปี 2549 เครื่องมือสำคัญที่สุดที่ถูกใช้ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคงหนีไม้พ้น ‘กำลังทหาร’ ทหารมีบทบาททั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
แต่ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นต้นมา ผมคิดว่าคนที่คุมอำนาจอยู่เริ่มเห็นแล้วว่าการใช้กำลังทหารอาจไม่มีประสิทธิภาพแล้ว เหมือนสังคมไทยเริ่มดื้อยา เขาเห็นแล้วว่าเครื่องมือที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะผ่านองค์กรอิสระ อย่างที่เราเห็นได้ชัดในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งแม้องค์กรอิสระต่างๆ จะมีมาก่อนหน้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ก็มีการเพิ่มเขตอำนาจและการสร้างกลไกในการทำงานให้มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกลไกทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการควบคุมการเมืองอย่างที่เห็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการยุบพรรคและตัดสิทธิ์นักการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ผมไม่ใช้คำว่า ‘นิติสงคราม’ เพราะมันฟังดูเหมือนทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันในทางกฎหมาย แต่จริงๆ มันไม่ใช่การต่อสู้ เพราะมันเป็นการกระทำโดยคนที่มีอาวุธฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่มีอาวุธเลย ฉะนั้นแล้วมันคือ การเอาคนไปเชือด เอาคนไปรมควันในกระบวนการที่ถูกดีไซน์ไว้แล้ว มันคือการทำลายล้างแต่ฝ่ายเดียว
ดูเป็นคำที่ให้ภาพที่ประชาชนขัดขืนไม่ได้มากขึ้น
ใช่ ดูเป็นแบบนั้นมากกว่า
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีคดีทางการเมืองที่ถูกตัดสินเยอะมาก โดยเฉพาะ ม.112 อาจารย์มองสถานการณ์ที่ผ่านมาอย่างไร มีคดีไหนที่ทำให้อาจารย์เลิกคิ้วต่อคำตัดสินไหม
มีคดีเกือบ 300 คดีที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล และในทุกคดีมันมีสิ่งที่ทำให้เราตกใจและผิดหวัง คงไม่สามารถเจาะจงคดีไหนคดีหนึ่งได้ แต่ผมขอพูดถึง 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก เด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี ม.112 การกระทำความผิดที่เกิดจากการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เด็กและเยาวชนที่มีความคิดความอ่านอยากให้สังคมและสถาบันพระมหากษัตริย์ดีขึ้นในมุมของเขา กลับถูกปฏิบัติอย่างร้ายแรง มันเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจได้ว่าเราปฏิบัติต่อเด็กและเยาวชนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นในระดับเดียวกับนักโทษอุกฉกรรจ์ได้อย่างไร
กลุ่มสอง กลุ่มที่ไม่ได้รับการประกันตัวในคดี ม.112 ผมรู้สึกสะเทือนใจมากในเรื่องนี้ สิทธิที่จะได้รับการประกันตัวเป็นสิทธิขึ้นพื้นฐาน และสอดคล้องกับหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ แต่บางคนถูกขังระหว่างพิจารณาคดีเป็นเวลาหลายร้อยวัน บางคนเป็นสุภาพสตรี บางคนเป็นเยาวชน หรือกรณีของ ทนายอานนท์ นำภา ศาลมีคำพิพากษาแต่ไม่ได้รับการปล่อยตัวระหว่างการสู้คดี เหตุเพราะกลัวที่จะหลบหนี หรือกรณีคุณวารุณีก็ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีเป็นเวลาหลาย 100 วัน ซึ่งศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวหลังจากถูกตัดสินจำคุกเนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนี ทำให้ทนายอานนท์ซึ่งยังคงทำหน้าที่ทนายให้ผู้ต้องหารายอื่น ต้องทำหน้าที่ทนายความทั้งที่ใส่ชุดนักโทษและโซ่ตรวน ซึ่งเป็นภาพที่รันทดใจอย่างยิ่ง
การที่คนถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวชั่วคราวในคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจทุกครั้งเวลาได้ฟังข่าวแบบนี้ และผมคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมไทย
พูดถึงเด็กและเยาวชนที่ถูกดำเนินคดี ม.112 ซึ่งเดือนที่ผ่านมามีอย่างน้อย 2 คน เวลาที่รัฐไทยใช้กฎหมายอย่างถึงที่สุดกับเยาวชน ปลายทางมันคืออะไร
ต้องเข้าใจว่าในแง่มุมกฎหมาย การที่กฎหมายให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐถือเป็นเรื่องปกติ แต่การบังคับใช้กฎหมาย เรื่องของโทษมันจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ ว่าต้องการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างไร แต่บ้านเราคุ้นเคยกับการใช้ความรุนแรงในเรื่องที่กระทบความมั่นคง ในขณะที่เรื่องที่กระทบกับความมั่นคงก็ตีความขยายกันออกไปเรื่อยๆ ซึ่งรัฐไทยเชื่อว่าการใช้อำนาจลงโทษอย่างรุนแรงทำให้คนรู้สึกหลาบจำและไม่กลับมาทำอีก มันเป็นวิธีการที่รัฐไทยใช้มาตลอด
อีกเรื่องหนึ่งคือ รัฐไทยสนใจแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ค่อยคิดวางแผนระยะยาว เรื่องที่ไม่ควรคิดวางแผนระยะยาวกลับคิดระยะยาว เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ควรยาวขนาดนั้น (หัวเราะ) แต่เรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบและคิดยาว อย่างเช่น ม.112 กลับคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คิดแค่ว่าทำอย่างไรให้สังคมสงบ ทำให้คนไม่อยากพูดถึง ณ ตอนนี้ แต่คำถามคือมันจะสงบจริงๆ หรือไม่ และจะสงบไปได้อีกนานแค่ไหน
โจทย์ที่รัฐบาลหรือรัฐไทยต้องคิดคือ ทำอย่างไรให้สถาบันพระมหากษัติรย์ยืนระยะอย่างมั่นคงได้ยาวนานที่สุด ซึ่งหลายประเทศเขาคิดออกตั้งนานแล้วว่าต้องทำให้สถาบันเป็นเหตุเป็นผลมากที่สุด เพราะสถาบันกษัตริย์ผลผลิตในทางวัฒนธรรมและยึดโยงอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม การทำให้คนในสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงจากรุ่นสู่รุ่นรู้สึกว่า สถาบันดำรงอยู่อย่างมีเหตุมีผล จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ย้อนกลับมาบ้านเรา ผู้มีอำนาจไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าสถาบันเป็นอมตะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นผู้คนในสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ต้องปรับตัวเข้าหา เขาจึงไม่เปิดโอกาสและสร้างเวทีที่ปลอดภัยให้คนช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรให้สถาบันดำรงอยู่ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เราละเลยปัจจัยทางสังคม และมองแค่ว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรงมันทำให้คนหยุดพูด ซึ่งมันอาจทำให้คนหยุดพูดแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เป็นการแก้ปัญหาแบบผิวเผิน แต่สุดท้าย มันไม่สามารถทำให้คนยอมรับด้วยเหตุด้วยผลได้จริงๆ มันอยู่ในใจคนตลอดเวลา และพวกเขาก็จะหาวิธีแสดงออกอยู่ดี การปิดปากไม่ใช่การแก้ปัญหาเรื่องนี้เลย
และสำหรับคนรุ่นใหม่ เขาอาจจะตอบโต้การบังคับใช้กฎหมายรุนแรงด้วยวิธีไม่พูด แต่มันไม่เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด ไม่ทำให้สิ่งที่อยู่ในใจเขาเปลี่ยนไปเลย ความต่อต้านที่ถูกกดทับไว้จะแสดงออกมาอยู่ดี มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และจำนวนคนที่รู้สึกแบบนี้จะเพิ่มมากขึ้น มันเป็นความรู้สึกของคนในเจเนอเรชั่นแล้ว เขาก็จะเก็บเรื่องพวกนี้อยู่ในใจแล้วรอจังหวะแสดงออกมา
อาจารย์เขียนไว้ในบทความของ the101.world ว่า ผู้พิพากษาที่จะตัดสินคดี ม.112 ต้องเข้าใจ ‘เทศกาลบ้านเมือง’ อธิบายคำนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม
มันอาจมีคนบอกว่าก็กฎหมายเขียนไว้แบบนี้ องค์ประกอบกฎหมายเป็นแบบบนี้ ถ้ากระทำความผิดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คุณก็ต้องรับโทษตามที่กฎหมายบอก ตรงไปตรงมาตามนั้น แม้จริงอยู่ว่าการบังคับใช้กฎหมายควรเป็นแบบนั้น แต่กฎหมายที่ออกมามันมีวัตถุประสงค์ของมัน อย่าง ม.112 มันมีเป้าหมายเพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในสมัยก่อนการลงโทษอย่างรุนแรงอาจเป็นวิธีดีที่สุด
แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไป คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้นทำให้คนตั้งคำถาม หรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่แค่สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รวมถึงศาสนาและรัฐบาล ถ้าเราต้องดำเนินคดีและลงโทษอย่างรุนแรงทั้งหมด มันจะเป็นวิธีการที่ได้ผลต่อไปหรือ
ผมคิดว่าผู้พิพากษาต้องตั้งคำถาม หลายครั้งการกระทำมันเห็นได้ชัดว่าเข้าองค์ประกอบกฎหมาย แต่เราจะลงโทษรุนแรง หรือให้โอกาสเขาเพื่อทบทวนสิ่งที่เขาทำ ผมคิดว่าการที่ศาลยกฟ้อง ให้โอกาสโดยการรอลงอาญา ไม่ได้เป็นการเข้าข้างคนผิดและบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งไม่ควรมีธงแนวเดียวกัน แต่เป็นการพิจารณาตามข้อเท็จจริงและบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละคดี
และถ้ามองในแง่การบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมาย การยกฟ้องหรือการให้รอลงอาญาในหลายคดี แสดงเห็นว่าผลคดีเป็นไปตามธรรมชาติของการตัดสินข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ข้อครหาว่าเป็นการตัดสินคดีตามใบสั่งก็จะลดน้อยลงไป
ผมสังเกตว่าตั้งแต่ปี 2563 – 2565 คำพิพากษามีความหลากหลายขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะมันแสดงว่าศาลพยายามให้ความเป็นธรรม รับฟังพยานหลักฐาน และพิจารณาตามความหนักเบาของข้อหาและกระทำในแต่ละคดี เช่น บางคดีที่ศาลวินิยฉัยว่า ม.112 ไม่ได้ครอบคลุมถึงกษัตริย์ที่สววรคต หรือการที่ศาลยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ มันไม่ได้ตัดสินแบบเดียวกันหมด ไม่ใข่ว่าคดี ม.112 โดนฟ้องแล้วผิดหมดเลย
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผลการตัดสินคดี ม.112 เหมือนกันหมด มันเป็นเรื่องน่าตกใจ เป็นเรื่องอันตราย และคนจะตั้งคำถามทันทีว่ากระบวนการยุติธรรมแบบนี้มีการควบคุมให้เป็นแบบเดียวกันหมดหรือเปล่า
ทุกวันนี้ผมเห็นใจศาลเหมือนกัน เพราะเรื่อง ม.112 ทุกคนฝากความหวังไว้ที่ศาลหมด แต่ปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าจะฝากความหวังไว้กับศาล ซึ่งเป็นปลายทางของกระบวนการยุติธรรม มันเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของนิติบัญญัติกับบริหาร ที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างหรือนโยบาย ซึ่งผมยังมีความคาดหวังว่าในการแก้ปัญหาระยะยาวที่จะก่อให้เกิดผลที่มั่นคงถาวรกว่านี้ มันต้องแก้กันในระดับนิติบัญญัติหรือบริหาร ไม่ใช่ตุลาการ
แต่อาจารย์มองว่าสถานการณ์การตัดสินคดี ม.112 ดีขึ้น
มันมีทั้งดีและไม่ดี ผมไม่อยากบอกว่าทุกอย่างไม่ดีหมดหรือดีขึ้นหมด ถ้าจะบอกว่าดีหรือไม่ดีต้องไปเปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้า ในสมัยที่มีคดี ม.112 ที่เข้าสู่การพิจารณาคดีน้อยแต่ค่อนข้างโหดร้าย อย่างคดีอากง (อำพล ตั้งนพกุล) เราจะเห็นได้ชัดว่าคนที่ถูกกล่าวหาแทบไม่มีโอกาสได้รับการประกันตัวเลย และศาลยังตัดสินว่ามีความผิดสูงมากแทบ 100% นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ก่อน
ตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นมา คดี 112 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ศาลมีโอกาสพิจารณาเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เราเห็นผลพิจารณาอย่างหลากหลาย เช่น การตีความว่า ม.112 ไม่ครอบคลุมพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว หรือยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เราเริ่มเห็นในบางคดีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา มันเป็นแนวโน้มที่ดี
แต่สิ่งที่ไม่ดีและเห็นได้ชัดมากคือการไม่ให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี อันนี้เป็นปัญหามากเพราะมีคดีที่ถูกกล่าวหาและดำเนินคดีอยู่เป็นจำนวนมาก ฉะนั้น ในภาพรวมมันอาจจะมีหลายแง่มุมที่ดีขึ้น แต่ในหลายส่วนก็ไม่ดีเลย เป็นปัญหาใหญ่มากของกระบวนการยุติธรรม และเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในกระบวนการยุติธรรม
สามารถใช้คำว่าตอนนี้ ม.112 อยู่ในสถานะที่คาดเดาไม่ได้ ต้องรอลุ้นว่าตำรวจเขียนสำนวนยังไง ผู้พิพากษาเป็นใครได้ไหม
การตีความกฎหมายตอนนี้มีความแตกต่างหลากหลายกันไป เช่น การตีความว่าอดีตพระมหากษัตริย์ได้รับความคุ้มครองหรือไม่ ศาลชั้นต้นอาจจะเห็นว่าต้องเป็นพระมหากษัตริย์ที่ดำรงตำแหน่ง ศาลสูงอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะต้องการให้ตีความรวมถึงพระมหากษัตริย์ในอดีต ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนนี้มีราคาที่ต้องจ่ายแพง เพราะโทษของมาตรา 112 สูง การตีความตอนนี้กลายเป็นเรื่องว่าผู้พิพากษาสามารถรักษาสภาพจิตใจของตนเองให้เป็นอิสระได้แค่ไหน หรือเอาความรู้สึกตัวเองไปพัวพันกลายเป็นคู่ความเสียเองหรือไม่ ในทางหลักการกฎหมายอาญา นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นตรงกันจนแทบจะไม่มีความไม่แน่นอนในทางทฤษฎี มีแต่ความไม่แน่นอนในทางการบังคับใช้และตีความกฎหมายในทางปฏิบัติ
การตีความตอนนี้กลายเป็นเรื่องว่าผู้พิพากษาสามารถรักษาสภาพจิตใจของตนเองให้เป็นอิสระได้แค่ไหน
ไม่นับรวมความไม่แน่นอนของกระบวนการดำเนินคดี ที่มีคนไปร้องทุกข์กล่าวโทษกันตามท้องที่ต่างๆ ที่ห่างไกลจากภูมิลำเนาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งในทางกฎหมายเป็นเรื่องของการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต แต่กฎหมายไทยก็ทำอะไรกับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย ปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ
การเรียกร้องให้ศาลตัดสินคดีมาตรา 112 ให้ยกฟ้องทั้งหมด คงเป็นข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้ไม่ใช่มาตรา 112 เป็นเรื่องทางแพ่งและพาณิชย์ ศาลก็ตีความมาตราเดียวไม่เหมือนกันและตัดสินผลคดีแตกต่างกัน การเรียกร้องต่อศาลเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 ในตอนนี้จึงได้แค่เรียกร้องเป็นเรื่องๆ ไป เราไม่สามารถฝากความหวังไว้กับศาลให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างถอนรากถอนโคนของปัญหา เพราะคนที่จะแก้ปัญหาได้ถึงฐานราก มีแต่รัฐบาลและรัฐสภาเท่านั้น
ม.112 ไปไกลเกินกว่าการบังคับใช้กฎหมายตรงไปตรงมา เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในช่วงท้าทายที่สุด และการบังคับใช้กฎหมาย ม.112 หรือมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ต้องคำนึงถึงการทำให้บรรลุเป้าหมายของกฎหมายคือทำอย่างไรให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ได้ต่อไปอย่างมั่นคง
ตอนนี้เราได้รัฐบาลใหม่มาเกือบ 3 เดือน มองเห็นความแตกต่างในการตัดสินคดี ม.112 ไหม
มันพูดยาก เนื่องจากว่าศาลกับฝ่ายบริหารแยกกันเป็นอิสระ รัฐบาลจะเป็นประยุทธ์ (จันทร์โอชา) หรือเศรษฐา (ทวีสิน) คงไม่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของศาลเสียทีเดียว เพราะเขาดำเนินคดี พิจารณาคดี ตัดสินคดีตามมาตรฐานเขาอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครจะเป็นรัฐบาล สิ่งสำคัญคือท่าทีของรัฐบาลมากกว่าที่จะแสวงหาความร่วมมือและวิธีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
การที่รัฐบาลประยุทธ์จะไม่ทำเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะเขาคือรัฐบาลที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับอำนาจเก่า แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างพรรคเพื่อไทยที่มีนโยบายตอนหาเสียงเกี่ยวกับ ม.112 ถ้าไม่ทำเรื่องนี้เลย จะเป็นเรื่องน่าผิดหวังมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้อเท็จจริงในช่วงตั้งแต่ปี 63 ที่นักการเมือง โดยเฉพาะเพื่อไทยและก้าวไกลต่างแย่งกันมาประกันตัวคนที่ถูกกล่าวหา ม.112
ทางพรรคเพื่อไทยชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีการแก้ ม.112 แต่อาจมีความหวังในการดูแลการบังคับใช้ อาจารย์มองว่าวิธีนี้มันเวิร์คไหมในการแก้ไขปัญหานี้
ผมว่าวิธีการดีที่สุดในการแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรม ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์คือการที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ภาคประชาชน และตัวแทนจากกระบวนการยุติธรรมมาพูดคุยกัน เหมือนที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอไว้ก่อนเป็นรัฐบาล นั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องไปถึงจุดที่แก้ไขหรือปฏิรูป ม.112 ก็ได้ ผมเข้าใจสถานการณ์และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ว่าทำไมยังละล้าละลังในการทำสิ่งที่ตัวเองเคยพูด
ปัญหา ม.112 ตอนนี้ ถ้าแก้ได้ในระดับที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรองการบังคับใช้ หรือมีการพูดคุยกับองค์กรในกระบวนการยุติธรรมถือว่าได้ทำอะไรบางอย่างแล้ว ส่วนในระยะยาว อย่าไปคาดหวังขนาดนั้น การแก้ไข ม.112 คงเกิดขึ้นได้ยาก แต่ลดลงมาทำน้อยลงหน่อยได้ไหม เช่น ตั้งคณะกรรมการขึ้นมากลั่นกรอง หรือไปดูสิทธิของคนที่ถูกขังระหว่างการพิจารณาคดี
จริงๆ แล้วการแก้ไขกฎหมายที่มีปัญหาไม่จำเป็นต้องเป็นการยกเลิกกฎหมายเสมอไป ผมยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่เคยมีกฎหมายห้ามคนเพศเดียวกันร่วมประเวณี เป็นกฎหมายเก่าแก่ที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป คนในสังคมก็เริ่มคิดว่ามันเป็นกฎหมายล้าหลัง แต่รัฐบาลยังไม่ยกเลิก จึงมีการใช้วิธีไม่ดำเนินคดี ไม่บังคับใช้กฎหมายข้อนั้น แต่ว่าถ้าจะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีการพูดคุยกันในหลายระดับ มันทำได้แต่ต้องมีเจ้าภาพซึ่งควรเป็นรัฐบาลสร้างเวทีขึ้นมาเพื่อพูดคุย เพื่อไม่ให้คนเดือดร้อนหรือไม่พอใจไปมากกว่านี้ และเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องไปแก้กฎหมายก็ได้ อย่างในช่วงปี 2563 เคยมีนโยบายที่ไม่บังคับใช้ ม.112 มาแล้ว มันมีช่วงเวลานั้นแหละที่ไม่ค่อยปรากฎว่ามีการดำเนินคดี ม.112 แสดงว่ามันทำได้สิ อังกฤษก็ไม่บังคับใช้กฎหมายหลายข้อที่เกี่ยวสถาบันและศาล บ้านเราก็ทำแบบนั้นได้ คุณจะไม่ต้องแตะกฎหมายเลย
ความคาดหวังของผมคือรัฐบาลควรทำอะไรสักหน่อยเถอะ สร้างเวทีเพื่อแสดงให้เห็นว่าพยายามที่จะแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
การแก้ไขกฎหมายที่มีปัญหาไม่จำเป็นต้องเป็นการยกเลิกกฎหมายเสมอไป มันทำได้แต่ต้องมีเจ้าภาพซึ่งควรเป็นรัฐบาลสร้างเวทีขึ้นมาเพื่อพูดคุย อย่างในช่วงปี 2563 เคยมีนโยบายที่ไม่บังคับใช้ ม.112 มาแล้ว มันมีช่วงเวลานั้นแหละที่ไม่ค่อยปรากฎว่ามีการดำเนินคดี ม.112 แสดงว่ามันทำได้สิ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ทางพรรคก้าวไกลยื่น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งเปิดช่องให้นิรโทษกรรมคดี ม.112 ด้วย อาจารย์มองร่างดังกล่าวอย่างไร
ผมเห็นด้วยกับกฎหมายนิรโทษกรรม 100% และเห็นด้วยว่ามันไม่ควรจำกัดอยู่แค่คนที่ถูกดำเนินคดี ม.112 แต่ควรย้อนกลับไปตั้งแต่คุณทักษิณด้วยซ้ำ เพราะในตอนนั้นเราเห็นแล้วว่ามันมีความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม มีความพยายามที่จะกำจัดคุณทักษิณให้ได้ และก็ต้องมารับโทษอยู่ตอนนี้
ส่วนที่ว่ามันจะไปคุมถึงเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ซึ่งทางพรรคก้าวไกลเสนอว่าไม่ควรคุมถึงคนที่ใช้อำนาจไม่ชอบก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงไป แต่ผมคิดว่ามันจำเป็นที่ต้องเอาเรื่องนี้ออกมาคุยอย่างเป็นระบบ ซึ่งยังไม่เห็นท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่คุมอำนาจบริหารอยู่
พรรคก้าวไกลก็ทำได้แค่นี้แหละ ไม่ว่าจะเสนออะไรมันแทบไม่มีผลในทางปฏิบัติเลยถ้ารัฐบาลไม่เอาด้วย นอกจากทำให้คนเกิดความตื่นตัว ฉะนั้น คนที่เป็นเจ้าภาพได้ดีที่สุดคือคนที่เป็นรัฐบาลตอนนี้ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาลก้าวไกลก็ต้องทำ ตอนนี้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลเป็นแกนนำ อย่างน้อยที่สุด เพื่อไทยต้องทำอะไรบ้าง
อาจารย์เขียนโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊กว่า “ถ้านักกฎหมายกล้าหาญและบริสุทธิ์ในการปรับใช้กฎหมาย เหมือนตอนเป็นนักศึกษากฎหมาย สังคมไทยจะดีกว่านี้มาก” ผมเข้าใจความหมายระหว่างบรรทัดว่า อาจารย์มองว่าคนที่เข้าไปในกระบวนการยุติธรรมถูกอำนาจบางอย่างเข้ามาดัดเข้ามาแปลงจุดยืน
มันทำให้เราสงสัยอย่างนั้นได้ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากความรู้สึกว่าต้องตีความ (ม.112) แบบนี้เพื่อให้เกิดผลบางอย่าง หรือเป็นเพราะระบบการควบคุมภายในกระบวนการตุลาการกันแน่
ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายเราเห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าให้นักศึกษากฎหมายวินิจฉัยการกระทำภายใต้หลักกฎหมายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นักศึกษากฎหมายจะตอบออกมาสมบูรณ์แบบมาก เป็นคำตอบที่ยุติธรรมและเป็นไปตามหลักกฎหมายมาก แต่ทำไมพอเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ มันกลับไม่ตรงตามหลักการที่เราสอนกันมา หรือเพราะว่ามันมีตัวแปรอื่นที่ทำให้ผลเป็นแบบนั้น แต่มันคืออะไรล่ะ ผมเลยคิดว่ามันเป็นเรื่องของความกล้าหาญมากกว่า เพราะมันไม่มีคำอธิบายอื่นเลย รัฐธรรมนูญรองรับความอิสระของศาล กฎหมายต่างๆ ก็รองรับความอิสระ มันหมายความว่าถ้าคุณยืนยันหลักที่จะตัดสินตามหลักการกฎหมายคุณทำได้เลย โดยชอบด้วยทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และทุกคนก็อยากให้คุณทำแบบนั้น
แต่ต้องยอมรับว่า ไม่มีทางที่จะทำให้นักกฎหมาย หรือผู้พิพากษาคิด และมองกฎหมายเหมือนกันหมด คนตัดสินคือคนหนึ่งๆ ที่มีรักโลภโกรธหลง ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกำหนดผลทางกฎหมาย เพราะฉะนั้นถ้ามีเรื่องไหนที่สำคัญมากๆ เป็นเรื่องความเป็นความตายของคน อย่างเช่น มาตรา 112 อย่าไปคาดหวังให้นักกฎหมายหรือผู้พิพากษามาแก้ปัญหา ประชาชนต้องแก้ปัญหากันเองผ่านทางผู้แทนประชาชนที่เลือกกันเข้าไป ถ้าไม่ทำก็ต้องช่วยกันกดดันให้ทำ ไม่นั้นเราก็ต้องอยู่กันแบบนี้ตลอดไป