ปัญหาเรื่องการผูกขาดทางการค้า เป็นเรื่องที่สังคมไทยวนเวียนถกเถียงกันมาอยู่เรื่อยๆ จนน่าสนใจว่า การผูกขาดจริงๆ แล้วเป็นอย่างไร? ในทางวิชาการมีนิยามอย่างไร? เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคเสมอไปหรือไม่? หรือแค่ไหนเรียกว่าผูกขาดกันนะ?
วันนี้ The MATTER ชวนทุกคนเปิดตำราเศรษฐศาสตร์ แล้วทำความเข้าใจความหมายของ ‘การผูกขาด’ ไปพร้อมๆ กัน
หากอ้างอิงจากหนังสือ หลักเศรษฐศาสตร์ I: จุลเศรษฐศาสตร์ โดยนราทิพย์ ชุติวงศ์ อาจกล่าวได้ว่า ในทางทฤษฎีการผูกขาด (monopoly) เป็นรูปแบบหนึ่งของตลาดที่มี ‘หน่วยธุรกิจเพียงหน่วยเดียว’ ที่เราเรียกว่าผู้ผูกขาด (monopolist) โดยคนกลุ่มนี้จะผลิตสินค้าที่ไม่มีสินค้าอื่นมาทดแทนได้ และผู้ผลิตรายใหม่ๆ ก็ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกันได้
พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตลาดที่มีผู้ผลิตเพียงเจ้าเดียว ขายของที่เราหาซื้อที่ไหนไม่ได้ และธุรกิจใหม่ๆ ก็เข้ามาขายสินค้าเดียวกันไม่ได้ ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อห้ามทางกฎหมาย อย่าง สิทธิบัตรและสัมปทาน การไม่มีปัจจัยการผลิตหรือเทคโนโลยีที่จำเป็น จนถึงการกีดกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาแข่งขัน
หากมองนิยามการผูกขาดในประเทศไทย นราทิพย์ระบุว่า เราอาจเห็นกรณีการผลิตบุหรี่ของโรงงานยาสูบ หรือการผลิตน้ำประปาของการประปาแห่งประเทศไทย ซึ่งจริงๆ แล้ว กรณีทั้งสองก็ไม่ใช่ ตลาดผูกขาดโดยสมบูรณ์ (pure monopoly) ซะทีเดียว เพราะยังคงสามารถหาสินค้าอื่นมาทดแทนได้เสมอ เช่น การใช้ยาเส้นมวนใบตองแทนบุหรี่
กล่าวได้ว่าในปัจจุบัน เราอาจพบกรณีการผูกขาดโดยสมบูรณ์ได้น้อย หรือแทบไม่มีเลย แต่เรายังคงพบอำนาจการผูกขาด (monopoly power) หรืออิทธิพลของผู้ผูกขาดในตลาด ได้อยู่ดี
แล้ว ‘อำนาจการผูกขาด’ เอื้ออำนวยให้ผู้ผูกขาดทำอะไรได้บ้าง? จินดารัตน์ โพธิ์นอก อธิบายตามพจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ว่าผู้ผูกขาดจะมีอำนาจ ‘กำหนดราคาสินค้าของตัวเอง’ เพื่อสร้างกำไรจากการผูกขาด (monopoly profit) ที่มากเกินปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ผลิตหลายราย จึงพยายามให้ตัวเองมีอำนาจการผูกขาด
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วรัฐจะคอยกำกับการผูกขาด เพื่อไม่ใช้ผู้ผูกขาดเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งนราทิพย์เรียกว่า การผูกขาดภายใต้ข้อบังคับ (regulated monopoly) ที่รัฐอาจเข้ามาจัดการโดยตรง ด้วยการควบคุมปริมาณการผลิตและราคาสินค้า หรือควบคุมทางอ้อมผ่านระบบภาษี
เราอาจเห็นภาพคร่าวๆ แล้วว่าการผูกขาดตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างไร และมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วการแข่งขันในตลาดนั้น อาจซับซ้อนกว่านั้นมาก
“นักเศรษฐศาสตร์ชิงชังการขายสินค้าที่มีลักษณะผูกขาด” ดร.ปฐมวัตร จันทรศัพท์ กล่าวในคอลัมน์เศรษฐเสวนา จุฬาฯทัศนะ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ว่าผู้ขายที่มี ‘อำนาจผูกขาด’ จะผลิตหรือขายสินค้าของตัวเอง ในปริมาณที่ ‘น้อยกว่าที่ควรจะเป็น’ เพื่อเพิ่มราคาให้สูงขึ้น จนทำให้ “ผู้ซื้อต้องจ่ายแพงขึ้น และปริมาณการซื้อขายในระบบเศรษฐกิจหดตัวลง”
ปัจจุบันในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ก็มีกฎหมายที่ป้องกันการผูกขาด ทำให้เราแทบไม่พบการผูกขาดในลักษณะดังกล่าวอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ปฐมวัตรระบุว่า มีการใช้อำนาจที่เกือบจะผูกขาดในตลาดและ “สิ่งที่เกิดขึ้นมักจะมีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมมากกว่า”
เขายกตัวอย่าง ‘การเอาเปรียบคู่แข่ง’ ในรูปแบบที่กำลังมีมากขึ้นทั่วโลก ซึ่งแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์บางแห่ง มีบริการทั้งส่วนตลาดออนไลน์ และส่วนบริการส่งของ โดยแม้ว่าแพลตฟอร์มนั้นจะไม่ได้บังคับให้เราใช้บริการส่งของตัวเอง แต่ก็อาจให้ ‘สิทธิพิเศษ’ กับร้านค้าที่เลือกใช้บริการขนส่งของตัวเอง หรือ ‘เก็บค่าธรรมเนียม’ หากใช้บริการขนส่งของที่อื่น ซึ่งปฐมวัตรกล่าวว่า กรณีแบบนี้จะทำให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ ‘ประโยชน์สองต่อ’
นอกจากนี้ ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ อดีตนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ยังให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจไว้ว่า โครงสร้างของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยนั้น “เอื้อให้เกิดการผูกขาดได้ง่าย” ดังนั้นรัฐควรให้ความสำคัญ ในการกำกับดูแลบริษัทขนาดใหญ่อย่างครอบคลุม
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้เราอาจเห็นว่า แม้การผูกขาดโดยสมบูรณ์ตามทฤษฎีนั้น จะไม่ได้ปรากฏมากนักในระบบเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะมีกฎหมายควบคุม แต่เราอาจเห็น ‘อำนาจผูกขาด’ ในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ มีช่องทางสร้างกำไรมากขึ้น จนเกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม และผู้บริโภคอาจเสียประโยชน์ได้ในที่สุด
อ้างอิงจาก
นราทิพย์ ชุติวงศ์. (2561). หลักเศรษฐศาสตร์ I: จุลเศรษฐศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 18). กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.