ไม่เพียงแค่คำถามถึงผลลัพธ์ของ ‘กำแพงกันคลื่น’ แต่การก่อสร้างที่มีปัญหา ก็ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นทัศนะแปลกตากลางชายหาดที่จังหวัดระยอง
เมื่อวานนี้ (23 เมษายน) ที่รัฐสภา อภิศักดิ์ ทัศนี ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach for Life เข้ายื่นหนังสือผ่าน กฤช ศิลปชัย สส.ระยอง พรรคประชาชน เพื่อให้กรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ ตรวจสอบโครงการกำแพงกันคลื่นหาดสนกระซิบ และหาดดวงตะวัน จ.ระยอง ที่ดำเนินการโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยพบว่าผู้รับเหมาทิ้งงานไปแล้ว 2 ปี หลังหมดสัญญาจ้าง
โดยภาพที่ถูกเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ Beach for Life แสดงให้เห็นแผ่นป้ายโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเลพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์พื้นที่ชายหาดหนองเเฟบเเละหาดสนกระซิบ ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง ดำเนินการโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยมีรายละเอียดดังนี้
– ความยาว 890 เมตร
– มูลค่าโครงการ 59,375,000 บาท
– สัญญาจ้างเลขที่ 43/2565
– ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564
– เริ่มสัญญา 30 พฤศจิกายน 2564
– สิ้นสุดสัญญา 30 ตุลาคม 2566
ซึ่งที่เป็นประเด็นและเป็นปัญหายิ่งกว่าผู้รับเหมาทิ้งงานคือ ซากที่เหลือทิ้งไว้จากการก่อสร้างของทั้ง 2 โครงการนี้ ซึ่ง ‘ยังไม่แล้วเสร็จ’ โดยที่หาดสนกระซิบ มีเสาเข็มปักคาอยู่บนชายหาดตั้งแต่ปี 2565 ก่อนที่ผู้รับเหมาจะทิ้งงานไป ทำให้ชายหาดมีวัสดุก่อสร้างเช่น แท่งปูน, เหล็ก เผยขึ้นมาตามแนวชายหาด ซึ่งเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ รวมถึงทำลายทัศนียภาพชายหาดด้วย
อภิศักดิ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นมาโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการ EIA ทำให้เกิดโครงการกำแพงกันคลื่น 125 โครงการ ใช้งบประมาณกว่า 8,400 ล้านบาท โดยโครงการก่อสร้างกำแพงที่สร้างไม่เสร็จดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งใน 125 โครงการที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายในการก่อสร้าง
ขณะที่ข้อมูลอัตราการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งปี 2565-2567 โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ชี้ให้เห็นว่า ชายหาดทั้ง 2 แห่งนี้ ไม่มีการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง และอยู่ในระดับต่ำ และบางช่วงมีการงอกสะสม
อภิศักดิ์ บอกด้วยว่า การที่กรมโยธาธิการและผังเมืองในฐานะเจ้าของโครงการ ปล่อยให้เกิดการทิ้งงานและพบว่าชายหาดดังกล่าวไม่ได้กัดเซาะรุนแรง เป็นการส่อพิรุธถึงความไม่โปร่งใสในการดำเนินโครงการของรัฐ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และไม่ปล่อยให้เกิดการใช้กำแพงกันคลื่นมาทำลายชายหาดได้อีก
ด้านกฤช สส.ระยอง กล่าวว่า ได้รับทราบว่าโครงการกำแพงกันคลื่นหาดสนกระซิบ และหาดดวงตะวัน โดยกรมโยธาและผังเมืองนั้นดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากผู้รับจ้างทิ้งงานไป เมื่อไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง สภาพชายหาดไม่ได้มีการกัดเซาะอีกต่อไป จึงไม่มีเหตุจำเป็นในการสร้างกำแพงกันคลื่นอีก และควรมีการตรวจสอบเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมกับพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของผู้รับจ้างที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักการเมืองในรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น กฤช กล่าวว่า ต้องติดตามการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และจะนำเรื่องประสานกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณเพื่อเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ร้องเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไป
นอกจากประเด็นเรื่องการก่อสร้างแล้ว ที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายที่ตั้งคำถามถึงผลลัพธ์และประสิทธิภาพของกำแพงกันคลื่นนี้มาอยู่หลายครั้ง
เมื่อย้อนดูมติของคณะรัฐมนตรีในปี 2556 ก็พบว่า มีมติที่ให้กำแพงและกองหินกันคลื่น ความยาวตั้งแต่ 200 เมตรขึ้นไป เป็นโครงสร้างแข็งที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact assessment) ด้วยเหตุผลว่าเป็นปัญหาเร่งด่วน และต้องการความคล่องตัวในการทำงาน นั่นจึงทำให้ช่วงเวลานับแต่นั้นมีกำแพงกันคลื่นผุดขึ้นมามากมายตามชายฝั่ง
มีประโยชน์จริง แต่ไม่เหมาะสม?
The MATTER เคยลงพื้นที่สำรวจ หาดวอนนภา จ.ชลบุรี และได้พูดคุยกับพ่อค้า-แม่ค้าในพื้นที่ ซึ่งได้รับเสียงยืนยันว่ามีนักท่องเที่ยวลื่นล้มจนต้องนำส่งโรงพยาบาลกันไปแล้ว ทั้งๆ ที่โครงการก่อสร้างนั้นยังสร้างเสร็จไปไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นคำถามตามมาว่าโครงสร้างแบบแข็งนี้ มีความแข็งแรงทนทานก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พื้นที่ริมทะเลที่ประชาชนควรมาพักผ่อนกลายเป็นพื้นที่อันตรายไปเสียอย่างนั้น ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่เหมาะกับหาดในไทยแล้วจริงหรือ?
กำแพงกันคลื่นที่ใช้งบสร้างมหาศาล สู่การจับพิรุธรัฐทุจริต?
ด้วยจำนวนโครงการก่อสร้างที่เยอะแยะมากมาย ประกอบกับงบประมาณที่สูงลิ่ว ซึ่งการไม่ต้องทำ EIA นั้น ได้ดันให้งบประมาณร้อยกว่าโครงการขยับขึ้นไปแตะหลักหลายพันล้านบาท ทำให้องค์กรไม่แสวงหากำไรอย่าง Beach for Life ที่ติดตามเรื่องนี้ ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณดังกล่าว