เป็นเวลากว่า 100 วันแล้ว นับตั้งแต่ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเพิ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ฉลองครบรอบโดยบอกว่าจะใช้ตำแหน่งนี้สร้าง ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่’ ให้อเมริกา
ซึ่งก็จริงดั่งที่เขาว่า เพราะตั้งแต่ที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 เข้ามาบริหารประเทศ เรียกได้ว่าผลิกโฉมประเทศใหม่จนแทบไม่เหลือโครงเดิม วันนี้ The MATTER จะรวบรวมสิ่งที่ทรัมป์ได้ทำไปในแต่ละด้านให้อ่านกัน
#อำนาจที่มีถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง
จนถึงตอนนี้ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารไปแล้วอย่างน้อย 142 คำสั่ง ซึ่งตามข้อมูลของ American Presidency Project ถือว่าเขาลงนามไปมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาประธานาธิบดีที่เข้ารับตำแหน่งช่วง 100 วันแรก
โดยที่คำสั่งเหล่านั้นก็ออกให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแต่ไม่จำเป็นต้องอนุมัติจากสภา ซึ่งตั้งแต่วันแรก (20 มกราคม 2025) ทรัมป์ก็ลงนามไปแบบเร็วๆ 26 คำสั่ง โดยมีคำสั่งที่อภัยโทษให้แก่ผู้ที่เคยก่อจลาจลในปี 2021 กว่า 1,500 คน นอกจากนี้ยังลงนามถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก และเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกาด้วย
#สุขภาพ ❌ #เสียเปรียบ ✅
อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าทรัมป์ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเรื่องนี้เขาให้เหตุผลไว้ว่า องค์การอนามัยโลกได้จัดการการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และวิกฤตด้านสุขภาพระหว่างประเทศอื่นๆ อย่างไม่เหมาะสม และบอกด้วยว่า องค์การอนามัยโลกไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองที่ไม่เหมาะสมของประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเงินบริจาคที่ทรัมป์มองว่าไม่เป็นธรรม เพราะเมื่อเทียบกับประเทศใหญ่ๆ อย่างจีน ทำไมถึงมีสัดส่วนเงินบริจาคน้อยกว่าประเทศตน ซึ่งเมื่อดูกราฟของการบริจาคเงินให้กับ WHO ระหว่างปี 2024-2025 พบว่า สหรัฐฯ คือผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 22% และรองลงมาคือจีนอยู่ที่ประมาณ 15%
#ตั้งหน่วยงานคุมประสิทธิภาพรัฐ
ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้จัดตั้งหน่วยงานควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล (DOGE) ขึ้นมา โดยให้ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของเทสลา (Tesla) เป็นผู้ดูแลและมอบหมายภารกิจลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลให้มัสก์
แน่นอนว่ามัสก็ทำงานได้ดี(?) เลยทีเดียว เพราะ DOGE ได้ตัดงบประมาณของรัฐบาลไปแล้วกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 8% ของงบประมาณที่มีทั้งหมด โดยการลดงบประมาณก้อนใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข 47,400 ล้านดอลล์, สำนักงานเพื่อการพัฒนาต่างประเทศ 45,200 ล้านดอลล์ และกระทรวงการต่างประเทศ 2,600 ล้านดอลล์ ซึ่งตามมาด้วยเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ว่าจำนวนเงินที่ลดไปนั้น ก็ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจริงหรือไม่
เมื่องบประมาณหายไป จำนวนคนก็ต้องลดลงตาม ข้อมูลที่รวบรวมโดย CNN พบว่า มีพนักงานอย่างน้อย 121,000 คนถูกไล่ออกจากหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยพนักงานประมาณ 10,000 คนถูกไล่ออกจากหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ซึ่งพนักงานทั้งหมดถูกเลิกจ้าง 100% และตอนนี้หน่วยงานดังกล่าวก็กำลังถูกยุบแล้ว
#ปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองและผู้อพยพ
ทรัมป์ได้พลิกโฉมนโยบายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ อย่างรุนแรงด้วยคำสั่งฝ่ายบริหารที่ครอบคลุม ซึ่งมีทั้งการฟ้องร้อง การบุกจับ และเนรเทศออกนอกประเทศอย่างเข้มข้น ซึ่งการปราบปรามดังกล่าวได้จุดชนวนความกลัวและความสับสนในชุมชนผู้อพยพ ก่อให้เกิดการประท้วงบนท้องถนน
ซึ่งการกระทำของทรัมป์ได้กระตุ้นให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและความถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตามมาด้วยคำถามเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมาย และเสรีภาพทางการคิดและพูด
#ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม?
คำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์เซ็นไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ามาทำงาน หลายฉบับส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเขาสั่งให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส (นับเป็นครั้งที่ 2 แล้ว) และยกเลิกข้อจำกัดการขุดเจาะบนที่ดินและแหล่งน้ำของรัฐบาลกลาง
#ภาษีและเศรษฐกิจ
ทรัมป์ประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรหลายรายการ รวมถึงหลายประเทศ เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และหวังจะแก้ไขนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ
เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์กำหนดภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโก หลังจากนั้นทรัมป์ก็ได้กำหนดอัตราภาษีให้กับประเทศอื่นๆ ตามมารวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งแม้จะผ่านมานับเดือนแล้ว แต่ไทยเองยังคงเดินหน้าให้เกิดการเจรจาเพื่อลดผลกระทบต่อไป
สลับมาดู ‘จีน’ คู่ปรับตลอดกาลของสหรัฐฯ กันบ้าง ประเทศนี้โดนอัตราภาษีสูงที่สุดอยู่ที่ 145% แต่ถึงอย่างนั้นก็มีข้อยกเว้นให้กับสินค้าบางอย่าง เช่น สมาร์ทโฟน
#จุดยืนในสงคราม
“อเมริกาต้องมาก่อน” คือจุดยืนที่ทรัมป์ประกาศไว้และใช้เป็นหมุดที่ยึดกับทุกๆ เรื่อง ทุกๆ นโยบายที่จะออกไป รวมถึงจุดยืนในสงครามและนโยบายต่างประเทศของเขาด้วยเช่นกัน
สำหรับยูเครนเอง ทรัมป์ได้วิพากษ์ วิจารณ์การใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน โดยให้เหตุผลว่าประเทศในยุโรปควรแบกรับภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้ให้มากขึ้น จนเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ยุติการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนทั้งหมด ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากพันธมิตรในยุโรป และรัฐบาลทรัมป์ได้จัดการประชุมกับเจ้าหน้าที่ของยูเครนและรัสเซียหลายครั้งเพื่อพยายามยุติการสู้รบ
ส่วนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทรัมป์ได้เสนอแนวคิดที่จะควบคุมฉนวนกาซา และพัฒนาฉนวนกาซาใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางว่าหมายถึงการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของชาวปาเลสไตน์จำนวน 2.3 ล้านคน ขณะเดียวกัน รัฐบาลของเขายังคงส่งระเบิดของสหรัฐฯ ไปยังอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงระเบิดขนาด 900 กิโลกรัม ซึ่งตอกย้ำการสนับสนุนอิสราเอลอย่างไม่ลดละของสหรัฐฯ
นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม กองกำลังอิสราเอลได้สังหารผู้คนอย่างน้อย 2,392 รายในฉนวนกาซาและ 105 รายในเขตเวสต์แบงก์ นอกจากนี้ ยังมีผู้คนราว 3,000 รายเสียชีวิตจากบาดแผลที่ได้รับจากการโจมตีของอิสราเอลหรือถูกกู้ขึ้นมาจากใต้ซากปรักหักพัง
ขยับออกมาในทะเลแดง สหรัฐฯ ได้เพิ่มการปฏิบัติการทางทหารในเยเมนอย่างมีนัยสำคัญ โดยโจมตีกลุ่มกบฏฮูตี (กลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน) นอกจากนี้ ข้อมูลของโครงการข้อมูลสถานที่และเหตุการณ์ความขัดแย้งทางอาวุธ (ACLED) ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมถึง 18 เมษายน สหรัฐฯ บันทึกการโจมตีในเยเมนอย่างน้อย 207 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 209 ราย
#สัญญาที่เคยให้ไว้ทำได้บ้างหรือยัง?
ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์ได้ให้สัญญาไว้อย่างน้อย 75 ข้อ ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่การเนรเทศผู้อพยพจำนวนมากไปจนถึงการปล่อยตัวผู้ก่อจลาจลในปี 2021
PolitiFact โครงการไม่แสวงหากำไรของอเมริกาโดยสถาบัน Poynter ติดตามคำสัญญาที่ทรัมป์เคยให้ไว้ และพบว่าเขาทำตามที่พูดไว้แล้ว 6 ข้อ ผิดสัญญา 1 ข้อ และค้างอยู่อีก 4 ข้อ และอยู่ระหว่างการดำเนินการ 23 ข้อ ส่วนอีก 41 ข้อยังไม่ได้ถูกหยิบขึ้นมาทำหรือพูดถึง
แม้ว่าปัจจุบันคะแนนนิยมของเขาพร้อมจะดิ่งลงเหวและทะยานขึ้นฟ้าได้ทุกเมื่อ ขึ้นอยู่กับสปีชที่พูดออกมาและการกระทำสุดระห่ำที่เกิดขึ้นไม่เว้นวัน ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องติดตามกันต่อไปว่าชายคนนี้จะทำอะไรอีกบ้าง และจะปั่นป่วนวุ่นวายโลกใบนี้ขนาดไหน