จากเดิมที่ ทรัมป์ ตัดสินใจจะเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% จากสหภาพยุโรป (EU) เริ่มวันที่ 1 มิถุนายน 2025 นี้ ล่าสุด เขาได้เลื่อนออกไปเป็น 9 กรกฎาคมแล้ว หลังคุยกับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เพื่อให้มีเวลาเจรจาหลังจากนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ตกลงเลื่อนกำหนดเส้นตายเจรจาภาษีกับสหภาพยุโรปออกไปอีก 1 เดือน หลังเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ของ EU และภายหลังลดเหลือ 10% เพื่อให้มีเวลาสำหรับการเจรจา
แต่แล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ก็แสดงความไม่พอใจกับความคืบหน้าของการเจรจา และขู่ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นถึง 50% ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน แต่สุดท้ายก็กลับมากล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมว่า จะเลื่อนการเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้านำเข้าจาก EU ออกไป
ทรัมป์กล่าวว่า เขากับ เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเอิน (Ursula Von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป มี ‘การสนทนาที่ดีมาก’ โดยเขากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “(ฟอน เดอร์ ไลเอิน) บอกว่าเธอต้องการที่จะเริ่มการเจรจาอย่างจริงจัง [… ]เธอบอกว่าเราจะรีบรวมตัวกัน และดูว่าเราสามารถหาทางแก้ไขได้หรือไม่”
ไม่นานหลังจากพูดคุยกกับผู้สื่อข่าว ทรัมป์ได้โพสต์บน Truth Social ว่า “การเจรจาจะเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว”
“สหภาพยุโรปกับสหรัฐอเมริกา มีการแบ่งปันความสัมพันธ์ทางการค้าที่สำคัญและใกล้ชิดที่สุดในโลก” ฟอน เดอร์ ไลเอิน โพสต์ “ยุโรปพร้อมที่จะผลักดันการเจรจาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เพื่อให้บรรลุข้อตกลงที่ดี เราต้องการเวลาวันที่ 9 กรกฎาคม”
ทรัมป์ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ ‘อุปสรรคทางทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี’ (Non-monetary trade barriers หรือ Non-Tariff Barriers: NTBs) โดยเขาหยิบขึ้นมาพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงประเทศหรือกลุ่มการค้าที่ขาดดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกาซื้อสินค้าจากคู่ค้าอื่นมากกว่าที่ประเทศนั้นๆ ซื้อจากสหรัฐอเมริกา
ตามข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา ในปี 2024 สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้า 236 พันล้านดอลลาร์กับสหภาพยุโรป นี่จึงอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทรัมป์มุ่งมั่นกับการขึ้นภาษีศุลกากรกับ EU เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบ
อ้างอิงจาก