ในปี 1854 ช่วงที่สงครามไครเมียยังคงครุกรุ่น ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale) นำกลุ่มพยาบาล 38 คน เดินทางสู่โรงพยาบาลทหารในตุรกี เพื่อดูแลทหารอังกฤษที่ได้รับบาดเจ็บในสงคราม
เช้านี้เราไม่ได้พูดคุยถึงกิจวัตรประจำวันของเธออย่างเคย แต่จะพูดถึงในวันที่เธอได้ก้าวเข้าสู่สงคราม การตัดสินใจครั้งนั้นของเธอ ไม่ได้เป็นเพียงแนวหลังในสงครามอันวุ่นวาย แต่ยังสร้างคุณูปการให้กับวิชาชีพพยาบาลจวบจนถึงวันนี้
ในวันที่เธอก้าวเท้าเข้าไปถึงโรงพยาบาลจุดหมายปลายทาง ไม่ต้องรอให้ใครบอกว่าต้องทำอะไร ภาพตรงหน้าได้เรียงแถวรอให้เธอมาจัดการแทบทุกจุด สภาพอันเลวร้ายในสงครามที่ว่าแย่แล้ว สงครามที่ไร้การจัดการด้านสุขอนามัยยิ่งแย่กว่า ทั้งปัญหาขาดแคลนยารักษาโรค มาตรฐานสุขอนามัยที่ต่ำ นำไปสู่การติดเชื้อจำนวนมาก
กลุ่มพยาบาลที่มาถึงจึงเริ่มงานของพวกเธอด้วยการรื้อความไร้ระบบเหล่านั้นออก เริ่มทำความสะอาดทุกห้องทันที และไนติงเกลมักเน้นย้ำให้เหล่าพยาบาลล้างมือบ่อยๆ เพื่อรักษาความสะอาดกันตั้งแต่ต้นทาง ตัวผู้ป่วยเองก็ต้องรักษาความสะอาดส่วนตนเช่นกัน ทั้งเสื้อผ้า อาหาร ก็ต้องแตะมาตรฐานสุขอนามัย เพื่อตัดวงจรการแพร่เชื้อไม่รู้จบ
แม้แต่การจัดการหอผู้ป่วยในรายละเอียดที่ถูกมองข้าม ให้แสงสว่างส่องถึง ลดความเบียดเสียดระหว่างเตียงลง ไม่นานนัก สุขอนามัยทีนั่นดีขึ้นทันตาเห็น การรักษาความสะอาดแม้ในโมงยามที่เร่งด่วนนี้ กลายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
โรงพยาบาลในพื้นที่สงคราม ทำให้เธอไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก แม้ในตอนพระอาทิตย์ตกดิน เธอยังต้องเดินถือตะเกียงเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย เหล่าทหารบาดเจ็บ จนผู้คนในพื้นที่ต่างเห็นภาพนี้จนชิน และขนานนามเธอว่า ‘สุภาพสตรีผู้ถือดวงประทีป’
ดวงประทีปของเธอสว่างสุกใสแม้ในยามสงครามสงบลง เธอก้าวสู่สนามรบในฐานะพยาบาล แต่กลับมาในฐานะวีรสตรี หลังจากสงครามไครเมีย ในปี 1860 เธอใช้เงินบริจาคก่อตั้งโรงเรียนพยาบาลวิชาชีพแห่งแรกของโลก ที่โรงพยาบาลเซนต์โทมัสในกรุงลอนดอน สนับสนุนการก่อตั้งสภากาชาดอังกฤษ และทำงานรณรงค์เพื่อการปฏิรูปทางการแพทย์อยู่เสมอ
มรดกที่เธอทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่วิชาชีพพยาบาล แต่ยังเป็นต้นแบบของความเมตตาในยามยาก
อ้างอิงจาก