‘เนื้อสุนัข’ เคยเป็นที่นิยมอย่างมากในเกาหลีใต้ และสร้างรายได้ต่อปีให้กับบริษัทที่จำหน่ายเนื้อสุนัขมากกว่าร้อยล้านบาท แต่หลังจากที่มีการผ่านกฎหมายห้ามเนื้อสุนัขเมื่อช่วงต้นปี ทำให้ธุรกิจเหล่านี้พังทลายลง เช่นเดียวกับ ธุรกิจของ ‘ชิน ซึงชอล’ ที่เคยบริหารบริษัทจำหน่ายเนื้อสุนัขมานานกว่า 40 ปี
บริษัทของชิน เคยมียอดขายต่อปีสูงถึง 5 พันล้านวอน (ราวๆ 123 ล้านบาท) และมีพนักงาน 6 คน แต่กลับกลายเป็นว่าปัจจุบันเขาใช้เวลาทั้งวันขายผักในตลาด และพยายามหารายได้เพื่อเลี้ยงชีวิต หลังจากที่กฎหมายดังกล่าวได้สั่งห้ามทั้งการเพาะพันธุ์ ฆ่า จำหน่าย และขายเพื่อใช้เป็นอาหาร
ชินบอกว่า จากความเครียดทำให้เขาเป็นมะเร็ง และปัจจุบันครอบครัวของเขาก็กำลังดำเนินกิจการส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ และเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายห้ามเนื้อสุนัขเต็มรูปแบบ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2570
ด้าน สมาคมเนื้อสุนัขแห่งชาติ (National Dog Meat Association) ระบุว่า จะยื่นฟ้องในเดือนหน้าต่อหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 50 แห่ง โดยที่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 400 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 4,140 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสมาคมกล่าวว่า แม้จะมีการเรียกร้องค่าชดเชยอยู่หลายครั้ง แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ให้การตอบสนองที่เป็นรูปธรรม
“นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีพของเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหลายแสนราย” ปาร์ค มยอง-จิน หัวหน้าสมาคมกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้มีการชี้ให้เห็นว่ามีผู้ประกอบการรายเล็กหลายคนที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม เมื่อเทียบกับคนที่เป็นเจ้าของฟาร์มสุนัข
โดยกระทรวงเกษตรฯ เคยจัดทำแผนแบนเนื้อสุนัขและเสนอเงินอุดหนุนสูงถึง 600,000 วอน (ประมาณ 13,000 บาท) ต่อสุนัขหนึ่งตัว ให้กับเจ้าของฟาร์มที่ยินยอมจะปิดกิจการโดยสมัครใจ
อย่างไรก็ตาม การชดเชยสำหรับผู้จัดจำหน่ายเนื้อสุนัข และเจ้าของร้านอาหารส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่เพียงการสนับสนุนที่ไม่ใช่เงินสด แต่เป็นมาตรการต่างๆ ได้แก่ การให้คำปรึกษากรณีปิดกิจการ การสนับสนุนบางส่วนสำหรับการย้ายหรือเปลี่ยนป้าย และการหางานผ่านโครงการธุรกิจขนาดเล็กที่มีอยู่
กระทรวงความปลอดภัยอาหารและยา (FDA) ยังได้จัดสรรเงินสูงสุด 2.5 ล้านวอน สำหรับการเปลี่ยนแปลงป้ายชื่อและป้ายเมนูสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเมนู แต่ทางอุตสาหกรรม ระบุว่า จำนวนนี้ยังไม่ครอบคลุมถึงความต้องการ
ซึ่งความเหลื่อมล้ำทางงบประมาณนี้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง โดยกระทรวงเกษตรฯ จัดสรรงบประมาณมากกว่า 70,000 ล้านวอนในปีนี้สำหรับการปิดฟาร์มสุนัขและการปรับโครงสร้างโรงงาน ขณะที่กระทรวงความปลอดภัยอาหารจัดสรรงบประมาณเพียง 3,900 ล้านวอนสำหรับการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม แผนการฟ้องร้องของสมาคมฯ สะท้อนให้เห็นถึงแรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ กล่าวว่า พวกเขากำลังเสียสละชีวิตของพวกเขา เนื่องจากเกาหลีใต้กำลังเปลี่ยนผ่านจากการบริโภคเนื้อสุนัข ซึ่งเป็นการเปลี่ยนที่เกิดจากความรู้สึกของผู้คนที่เปลี่ยนไป และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลก
อ้างอิงจาก