เหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือหนึ่งในบาดแผลทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อการสลายการชุมนุมในครั้งนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกินกว่า 90 ราย
ย้อนกลับไปวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ จนแกนนำ นปช.ต้องประกาศยุติการชุมนุม ค่ำวันเดียวกัน ยังเกิดโศกนาฎกรรมที่วัดปทุมวนาราม เมื่อมีผู้ชุมนุมและอาสาสมัครพยาบาลถูกยิงเสียชีวิต 6 คน โดยกระสุนปืนของทหารที่ประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส และที่อ้างว่ายิงต่อสู้กับชายชุดดำ ศาลก็ชี้ว่าไม่เป็นความจริง (คดีไต่สวนการตายของศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขดำที่ ช.5/2555)
เหตุปะทะกันด้วยอาวุธสงครามในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92-94 คน (ข้อมูลของ คอป. จะบอกว่าอย่างน้อย 92 คน ส่วนของ ศปช.จะบอกว่าอย่างน้อย อย่างน้อย 94 คน) แบ่งเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ คือทหารและตำรวจ 10 คน และฝ่ายผู้ชุมนุม สื่อมวลชน รวมถึงประชาชนทั่วไปอีก 82-84 คน โดยศาลชี้ว่ามีอย่างน้อย 18 คน ที่เสียชีวิตเพราะกระสุนจากฝั่งทหาร บาดเจ็บอีกหลายพันคน
ญาติผู้เสียชีวิต พยายามยื่นฟ้องให้ศาลอาญา เอาผิดกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ขณะนั้น ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ในข้อหา “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตาม ป.อาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288 แต่ศาลยกคำร้องทั้ง 3 ศาล โดยอ้างว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ต้องให้ ป.ป.ช. ไต่สวน
เมื่อยื่นคำร้องไปยัง ป.ป.ช. ให้เอาผิดทั้งอภิสิทธิ์, สุเทพ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ขณะนั้น ในข้อหา “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตาม ป.อาญา มาตรา 157 ปรากฎว่า ปลายปี 2558 ป.ป.ช.ได้ยกคำร้องไม่รับคดีไว้ไต่สวน โดยอ้างว่าการสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาดังกล่าว ‘เป็นไปตามหลักสากล’ และหากจะเอาผิดกับบุคคลใดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต ให้ถือเป็น ‘ความผิดเฉพาะตัว’
ขณะที่ พะเยาว์ อัคฮาด มารดาของกมนเกด อัคฮาด อาสาสมัครพยาบาลที่เสียชีวิตในวัดปทุมฯ เดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมต่อไป ผ่านทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เคยทำเรื่องส่งไปยังอัยการศาลทหาร ให้เอาผิดกับทหาร 8 คนที่อยู่บนรางรถไฟฟ้า แต่กลางปี 2562 อัยการศาลทหารกลับมีคำสั่งไม่ฟ้องทหารกลุ่มดังกล่าว โดยอ้างว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ณ วันนี้ ยังคงมีคำถามมากมายต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยเฉพาะเงื่อนไขที่การเอาผิดต้องผ่าน ป.ป.ช. เพียงอย่างเดียว จึงทำให้ทุกครั้งที่ ป.ป.ช.ตีตกคำร้องจากประชาชน ก็ทำให้คดีต้องถูกตีตกไปโดยปริยาย
อดีตแกนนำ นปช. ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยให้สัมภาษณ์ถึงความพยายามของเขา ที่จะผลักดันการแก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. โดยเนื้อหาหลักก็คือ ให้ประชาชนมีสิทธิเป็นผู้เสียหาย และฟ้องร้องคดีต่อศาลได้ด้วยตัวเอง แม้ว่า ป.ป.ช. จะตีตกคำร้องไปก่อนแล้วก็ตาม
จากนี้คงต้องติดตามกันว่า ในช่วงเวลาอีกประมาณ 5 ปี ก่อนที่คดีนี้จะหมดอายุความ กระบวนการหาตัวคนทำผิดมาลงโทษจะเป็นอย่างไร และกฎหมายที่จะแก้ไขและเพิ่มสิทธิให้กับประชาชนนั้นจะสำเร็จหรือไม่