หากกล่าวถึงสื่อบันเทิงที่กำลังมาแรงสุดๆ ในช่วงเวลานี้ คงหนีไม่พ้น Shine The Series ด้วยเนื้อหาที่สื่อถึงเรื่องการเมืองในยุค 2512 อย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่มุมมองของนักศึกษาในขณะนั้น การต่อต้านนายทุน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมที่ส่งผลต่อความนึกคิดของคนในสมัยนั้น
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (20 กันยายน 2568) Shine The Series ได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้าย (EP. 8) ซึ่งฉายผ่านช่อง 7 และสตรีม (Streaming) ทาง WeTV
หนึ่งในฉากสำคัญคือ ‘ตฤณ’ ตัวเอกของเรื่องเดินทางไปยังปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเดินเข้าไปในบ้านสีขาวสองชั้น ล้อมรั้วสีเขียว พร้อมพูดว่า
“แต่พอได้พบ ‘อาจารย์’ ได้ฟังท่านพูด ก็เหมือนสติเราจะกลับมา ท่านบอกว่า อย่าปล่อยให้ความล้มเหลวหยุดเรา ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง เราจะหาทางเดินต่อไปได้เสมอ”
บ้านหลังนั้นคือ ‘บ้านอองโตนี (Antony House)’ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างยิ่ง เพราะเป็นที่พำนักสุดท้ายของ ปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร และรัฐบุรุษอาวุโส ซึ่งคาดว่าจะเป็น ‘อาจารย์’ ที่ตฤณพูดถึงในซีรีส์นั่นเอง
บ้านอองโตนีเป็นบ้านทรงสแปนิช มีพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ในกรุงปารีส เป็นสถานที่ที่ปรีดี พนมยงค์ ลี้ภัยทางการเมืองและใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่ที่นี่นานถึง 13 ปี (ตั้งแต่ พ.ศ. 2513) หลังจากใช้ชีวิตในประเทศจีนมา 21 ปี
บ้านหลังนี้ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมืองของบุคคลสำคัญมากมาย เช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล, ส.ศิวรักษ์ และ สุพจน์ ด่านตระกูล
แต่หลังจากปรีดี พนมยงค์ เสียชีวิตในปี 2526 ครอบครัวพนมยงค์ได้ตัดสินใจขายบ้านหลังนี้ให้กับครอบครัวชาวเวียดนาม โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า “ถ้าครอบครัวคนเวียดนามอยากจะขาย ให้ติดต่อขายให้คนไทยก่อน”
ในปี 2567 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้ซื้อบ้านอองโตนีต่อจากครอบครัวนี้ในราคาราว 1.6 ล้านยูโร (ประมาณ 63 ล้านบาท) โดยมีเป้าหมายปรับปรุงเพื่อเป็น ‘พิพิธภัณฑสถาน’ เล่าเรื่องราวชีวิตบั้นปลายของปรีดี พนมยงค์ และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในสังคมไท
โดยหวังว่า การทำบ้านหลังนี้เป็นพิพิธภัณฑ์จะช่วยสืบสานอุดมคติของรัฐบุรุษอาวุโส เพื่อให้ผู้เข้ามาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ได้รับความรู้หรือแรงบันดาลใจ และนำไปต่อยอดการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป เหมือนครั้งที่ปรีดียังมีชีวิตอยู่แล้วมีคนมากหน้าหลายตาเข้าไปพูดคุย
นอกจากนั้น ธนาธรยังหวังว่าบ้านหลังนี้จะตกอยู่ในมือของผู้ที่ควรจะเป็นเจ้าของจริงๆ คือ ‘รัฐไทย’ และ ‘ประชาชนไทย’ ซึ่งหากวันใดที่รัฐไทยพร้อม เขาก็พร้อมที่จะยกบ้านหลังนี้ให้กับรัฐไทย โดยไม่คิดกำไรใดๆ
“เพราะมันจะหมายถึงรัฐไทยยอมรับในความสำคัญของการอภิวัฒน์สยาม ยอมรับในคุณูปการของปรีดี พนมยงค์ ยอมรับความผิดพลาดในอดีตที่รัฐกระทำต่อผู้เห็นต่าง ยอมรับในคุณค่าประชาธิปไตย” ธนาธร กล่าว
สุดท้ายนี้ แม้บ้านอองโตนีปรากฏเป็นฉากสั้นๆ ใน Shine The Series แต่ต้องยอมรับว่านี่เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่ซีรีส์เรื่องนี้เลือกหยิบเรื่องราวของบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์จริงมาสอดแทรกในสื่อบันเทิง ซึ่งทำให้ใครหลายคนไปสืบค้นข้อมูลต่อไป
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ‘การเมือง’ อาจไม่ใช่หัวข้อ ‘ต้องห้าม’ สำหรับสื่อบันเทิงอีกต่อไป หากผู้สร้างมีความกล้าที่จะนำเสนอเรื่องราว และใส่ใจในรายละเอียดประวัติศาสตร์ ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งให้ความบันเทิง และกระตุ้นให้สังคมเกิดการเรียนรู้และตั้งคำถามต่อไปได้
อ้างอิงจาก