ให้สมกับที่เป็นเจ้าแห่ง ‘เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า’ รัฐบาลจีนจึงเตรียมที่จะใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยปราบปรามนักลักลอบขนของถูก (parallel trader) ที่หิ้วสินค้าจากฮ่องกงข้ามฝั่งไปขายทำกำไรในจีนแผ่นดินใหญ่
ปัจจุบันด่านตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างเมืองเซินเจิ้นกับเกาะฮ่องกง มีคนเข้า-ออกเฉลี่ยถึงวันละ 640,000 ครั้ง! ทำให้เกิดปัญหาความแออัดจนต้องรอคิวนานและยาวเหยียด เหตุที่มีจำนวนคนเข้า-ออกมากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการให้วีซ่าข้ามไปๆ มาๆ ได้ไม่จำกัดครั้ง (multiple entry visa policy) อีกส่วนก็เกิดจากการที่เกาะฮ่องกงยกเว้นการเก็บภาษีกับสินค้าบางประเภท ทำให้มีราคาถูกกว่าบนจีนแผ่นดินใหญ่ จนเกิดอาชีพรับจ้างหิ้วของเข้าไปขายทำกำไรตามมา
สำหรับระบบตรวจจับใบหน้าที่จะมาใช้กับด่าน ตม. บริเวณจุดตรวจ Shenzhen Bay และ Lo Wu ไม่เพียงทำให้คนข้ามจากฮ่องกงไปเซินเจิ้น หรือเซินเจิ้นไปฮ่องกงได้เร็วขึ้น ยังจะมีการเตือนอัตโนมัติด้วยหากพบใครที่ข้ามไปข้ามมาบ่อยจนต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นพวก parallel trader เพราะการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมายศุลกากร
ปัญหาการลักลอบหิ้วของข้ามฝั่งมาขาย ไม่เพียงทำให้เกิดวิกฤตสินค้าบางอย่างขาดแคลนบนเกาะฮ่องกง เช่น วิกฤตนมผงในปี 2013 ยังทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้นในบางช่วงเวลา เพราะพอสินค้าถูกนำไปขายในจีนมากๆ ในฮ่องกงก็ย่อมขาดแคลน ทำให้ของแพงขึ้นโดยปริยาย
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทางการฮ่องกงกับจีน เพราะคนฮ่องกงก็ไม่พอใจทางการจีน ที่คิดว่าไม่ได้ปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนพวกเขาได้รับความเดือดร้อน
อ้างอิงจาก
https://www.scmp.com/news/china/society/article/2156510/china-uses-facial-recognition-system-deter-tax-free-traders-hong
https://www.scmp.com/topics/parallel-trading
#Brief #TheMATTER