หลังจากมี Netflix เราก็สามารถพกหนังพาซีรีส์ไปสร้างความบันเทิงได้ในทุกที่ ยิ่งรุ่นหลังสามารถดาวโหลดซีรีส์เก็บไว้ในเครื่องได้ ทีนี้ไปที่ไหนก็ไม่ต้องง้อ wi-fi จากการสำรวจของ Netflix พบว่า เราไม่ได้แอบดูหนังในที่สาธารณะอยู่คนเดียว คนกว่าครึ่งต่างก็ดูหนังในที่สาธารณะ โดยเฉพาะดูในที่ทำงาน และแน่ล่ะดูตอนทำธุระในห้องน้ำสาธารณะ
ดูเหมือนว่าการทำกิจกรรมที่เคยจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะอย่างการดูหนัง นำไปสู่มิติเชิงวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์
Netflix สำรวจข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 37,000 รายทั่วโลก (เก็บข้อมูลออนไลน์) พบว่าคนกว่าครึ่งดู Netflix เวลาที่ตัวเองอยู่นอกบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมดา เพราะที่ที่คนใช้เวลาดูคือเวลาว่างขณะเดินทางในชีวิตประจำวัน บนรถโดยสาร บนเครื่องบิน และระหว่างสัญจรอื่นๆ แน่ล่ะว่าเราไม่ได้แอบใช้เวลางานดูหนังอยู่คนเดียว ในการดูหนังนอกบ้านพบว่าหนึ่งในสี่ หรือ 26% ดู Netflix ในที่ทำงาน-แน่ะ เคยทำหรือมีเพื่อนทำอะดิ ในกลุ่มที่ดูหนังที่ในสาธารณะมีประมาณ 7% ที่บอกว่าใช้เวลาดูตอนเข้าห้องน้ำสาธารณะ
ผลสำรวจของ Netflix ก็แสนจะน่ารัก ทำให้เราเห็นธรรมชาติของมนุษย์และวัฒนธรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป การดูซีรีส์ในที่สาธารณะ-ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะถูกคนอื่นเห็น และมีโอกาสที่เราจะอินจนแสดงอารมณ์ออกมา ผลสำรวจรายงานว่าคนเกือบครึ่งพบว่ามีคนแอบส่องขณะที่กำลังดูซีรีส์ในจอของตัวเอง ซึ่งท่าทีของคนถูกแอบมองว่า เฮ้ แกดูหนังอยู่นี่ มีแค่ 18% ที่รู้สึกเขินเมื่อถูกจับได้ว่าดูหนังในที่สาธารณะ-แปลว่ามนุษย์เรานี่ขี้เสือกเนอะ และเราเองถ้าเจอคนนั่งดู Netflix หรือคลิปอะไรบนมือถือ เราก็คงแอบส่องแหละว่ากำลังดูอะไรอยู่นะ
ความเดือดร้อนของพฤติกรรมการดูหนังในที่สาธารณะคือเราไปสปอยล์ชาวบ้านโดยไม่รู้ตัว ตรงนี้ก็มีความกรรมตามสนอง คือในรายงานพบว่า 11% ของคนที่ดูซีรีส์ในที่สาธารณะโดนสปอยล์จากการที่คนอื่นกำลังดูซีรีส์หรือหนังอยู่เหมือนกัน (แปลว่าพวกนี้เองก็เป็นทั้งคนที่ดูในที่สาธารณะ เป็นพวกที่ดูจอชาวบ้าน และในขณะเดียวกันแกก็อาจจะสปอยล์ชาวบ้านไปด้วยในตัวสินะ เป็นพฤติกรรมยุ่งขิงของมนุษย์จริงๆ )
ความน่ารักของการสอดรู้ไปในจอของชาวบ้านสุดท้ายก็นำไปสู่พฤติกรรมที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ เราอาจรู้สึกว่าเวลาเราอยู่นอกบ้านเราต้องต่างคนต่างอยู่ แต่การที่เราเอาพฤติกรรมที่ควรจะอยู่ในบ้าน อย่างการดูหนังไปทำนอกบ้าน กลายเป็นว่าไอ้เส้นแบ่งของความเป็นสาธารณะ ความตัวใครตัวมัน กลับถูกทำลายลง มีรายงานว่า 27% ของคนที่ดูหนังในที่สาธารณะถูกขัดจังหวะการดู ทั้งจากคนแปลกหน้าที่มาชวนคุยเรื่องหนังที่กำลังดูอยู่ ไปจนถึงต้องหยุดเพราะอินจัด น้ำหูน้ำตาไหล หรือหัวเราะออกมา
ในมิติทางวัฒนธรรม การดูหนังเป็นประสบการณ์ส่วนตัว ส่วนหนึ่งเพราะหนังเป็นเรื่องของอารมณ์ และการแสดงอารมณ์ในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่สมควร หนังจึงถูกออกแบบให้ดูที่บ้าน หรือโรงหนังที่ถูกออกแบบให้มืดเพื่อตัดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยรอบออกไป แต่ด้วยด้วยเทคโนโลยีจึงทำให้เส้นแบ่งของพื้นที่ส่วนตัวและพื้นสาธารณะเริ่มเบลอลง กลายเป็นว่าพอเราดูหนังหรือซีรีส์ในที่สาธารณะ เราดูจะแสดงความเป็นมนุษย์ออกมามากขึ้นกว่าเดิม
จากเดิมหากเราอยู่ข้างนอก การยิ้มหรือคุยกับคนแปลกหน้าคนก็จะหาว่าบ้า การที่เราสนใจว่า เอ๊ะ คนที่นั่งรถแถวถัดไปเค้าดู Stranger Things เหมือนเราเลย ไปๆ มาๆ ก็อาจนำไปสู่การชวนคุย สร้างชุมชน เกิดมิตรไมตรี
จากพื้นที่สาธารณะที่ไร้อารมณ์ ด้วยเทคโนโลยีนี้เลยดูเหมือนว่า เราเริ่มเปิดเผยอารมณ์ในที่สาธารณะกันได้มากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก