สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เปิดแคมเปญ “สส.ที่ดี… คุณเองก็เป็นได้นะ” เชิญชวนประชาชนสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวที่น่าสนใจของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย
‘พรรคประชาธิปัตย์’ เป็นพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2489 หรือประมาณ 80 ปี โดยไม่เคยถูกยุบพรรค และมีพื้นที่ในสนามการเมืองเรื่อยมา ผ่านการมีนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมาแล้วถึง 4 คน ได้แก่ ควง อภัยวงศ์ (2487), ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (2488), ชวน หลีกภัย (2535) และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2551)
พรรคการเมืองนี้เคยมีช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนที่อาจเรียกได้ว่า ‘เคียงข้างประชาชน’ จากการคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอก สุจินดา คราประยูร สมาชิกของคณะ รสช. ที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง
แม้จะได้รับเสียงข้างมากในสภา แต่ไม่กี่ปีถัดมา รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจากคดีโครงการเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ทำให้ชวนตัดสินใจยุบสภาก่อนการลงมติไม่ไว้วางใจเพียง 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ หลังวิกฤตต้มยำกุ้งและ พล.อ.ชลวิตร ยงใจยุทธ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ สภาผู้แทนราษฎรจึงเลือกชวนเป็นนายกฯ อีกครั้งในปี 2540 – 2543
หลังสิ้นสุดยุคสมัยที่ชวนเป็นนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยชนะการเลือกตั้งอีกเลย แม้จะมีนายกฯ อีกคน คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็มาจากการเลือกกันภายในสภาหลัง ‘กลุ่มเนวิน’ ย้ายขั้วออกจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกตัดสินยุบพรรค ทำให้สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พ้นจากตำแหน่ง
เมื่ออภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ได้ไม่นานก็มีเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช. เป็นเหตุให้เขามีส่วนร่วมในการสั่งสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงในปี 2553 และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 ราย
การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ในปี 2556 ปรากฏภาพสุเทพเป็นผู้นำการประท้วง และมีอภิสิทธิ์ร่วมการชุมนุมอยู่บ้าง ถึงกระนั้น ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศจุดยืน ‘ไม่หนุน’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาพบว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เก้าอี้ในสภาเป็นอันดับที่ 5 อภิสิทธิ์จึงแถลงลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังพรรคมีมติสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ
เหตุการณ์ดังกล่าวนำสู่ความรู้สึก ‘เสื่อมศรัทธา’ ของประชาชน ทำให้การเลือกตั้ง 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้เก้าอี้ในสภาลดลงกว่าครึ่ง จาก 52 เป็น 25 เก้าอี้ แต่ยังคงกลุ่มฐานเสียงเดิมคือ ‘กลุ่มคนใต้’ และบทบาทในหน้าการเมืองไทยก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนอาจเรียกได้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดของพรรคการเมืองที่มีประวัติยาวนานที่สุดในประเทศไทย
แต่ล่าสุด 2568 พรรคประชาธิปัตย์ได้ดึงตัวอภิสิทธิ์กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง พร้อมเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ ผ่านการปรับโฉมพรรคเพื่อดึง ‘คนหน้าใหม่’ ผ่านแคมเปญ “สส.ที่ดี…คุณเองก็เป็นได้นะ” โดยเชิญชวนคนที่มีจุดยืน ‘ปรารถนาดี’ กับบ้านเมืองมาร่วมเป็นผู้สมัคร สส.
“บ้านเมืองเรา ประเทศเรา มีปัญหาที่สะสมเรื้อรังยืดเยื้อมาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเพราะการเมืองไม่สุจริต … การเมืองที่ไม่สุจริตก็เป็นที่มาของการที่ระบบเศรษฐกิจขาดประสิทธิภาพ การเมืองที่ไม่สุจริตก็เป็นที่มาที่ทำให้เกิดปัญหาสะสมของสังคมมากมาย รวมไปถึงปัญหายาเสพติดและการพนัน ถ้าเราปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็มองไม่เห็นว่า บ้านเมืองเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีการเผยแพร่วิดีโอสั้นผ่านเฟซบุ๊กเพจพรรคประชาธิปัตย์ แสดง ‘ละครคุณธรรม’ จากตัวละครที่เป็นคนทั่วไป (สำเนียงการพูดติดทองแดง) ไม่มีเส้นสายทางการเมือง พบข่าวทุจริตหรือสแกมเมอร์ แล้วอยากเปลี่ยนแปลงประเทศ เดินมาเจออภิสิทธิ์และพูดคุยกันโดยมีใจความว่า ‘ทุกคนสามารถสมัครเป็นสส. ได้ เพียงมีใจที่อยากทำเพื่อประเทศชาติ’
สุดท้ายนี้ ต้องติดตามกันต่อไปว่าการพยายามรีแบรนด์พรรคเก่าแก่ด้วยการดึงคนหน้าเดิมซึ่งเป็นไอคอนของพรรคแต่มีแผลทางการเมืองเหวอะหวะอย่างอภิสิทธิ์มาชูเป็นแม่ทัพ พร้อมพยายามทดลองใช้โซเชียลมีเดียในการดึงคนใหม่ๆ ร่วมกับพรรคมากขึ้น
ยุทธการณ์เหล่านี้จะช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมามีที่ทางทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งถัดไปได้หรือไม่ หรือพรรคการเมืองที่เก่าแก่นี้จะสิ้นสุดหนทางทางการเมืองแล้ว อย่างที่ใครหลายคนเรียกว่า ‘พรรคที่สูญพันธุ์’