จะเป็นยังไงถ้าเราสามารถควบคุมเรื่องราวในความฝันของตัวเอง โดยที่รู้ตัวว่าฝันอยู่ และความฝันนั้นก็ยังนำไปสู่การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเราได้อีกด้วย
มีน้อยคนที่สามารถจำความฝันได้เป๊ะๆ 100% แม้จะเป็นความฝันสั้นๆ ก็ตาม แต่มีความฝันประเภทหนึ่ง ที่ผู้ฝันส่วนใหญ่รู้ตัวว่ากำลังหลับ และกำลังฝัน จนสามารถนำมาเล่าในตอนตื่นได้เกือบจะทั้งหมด นั่นก็คือความฝันแบบ ‘Lucid Dream’
ลูซิดดรีม (lucid dream) มีนิยามว่า ความฝันที่ผู้ฝัน ‘รู้ตัว’ ว่าฝันอยู่ เป็นศัพท์ที่เกิดขึ้นจากนายแพทย์ชาวดัตช์ชื่อ เฟร็ดเดอริก แวน อีเด็น (Frederik Van Eeden) ซึ่งเป็นผู้ศึกษาความฝันประเภทนี้เป็นคนแรก และก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังจากภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง ‘Inception’ เข้าฉาย โดยในภาพยนตร์ก็ได้เกี่ยวกับกลุ่มคนที่มีความสามารถในการสร้างองค์ประกอบในความฝัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สิ่งแวดล้อม หรือเหตุการณ์
แม้ลูซิดดรีมเหมือนความฝันส่วนใหญ่ ที่เกิดขึ้นในการนอนหลับช่วง REM แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่ความฝันธรรมดาๆ แต่ยังเป็นเส้นทางสู่ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ที่ไม่สิ้นสุด เนื่องจากเราสามารถ ‘ควบคุม’ ออกแบบ หรือกำหนดเรื่องราวในความฝันได้ตามที่ใจต้องการ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวไปในแดนไกล ทำอะไรแผลงๆ พบเจอคนที่อยากเจอ ซื้อของที่อยากได้มานาน หรือบินออกไปนอกโลกก็ยังได้
ด้วยความสามารถในการออกแบบเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมต่างๆ จึงทำให้ขณะที่เราฝัน มีการใช้ ‘สมองซีกขวา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ทำให้บางครั้งเราอาจได้ไอเดียใหม่ๆ จากความฝัน ไปใช้แก้ปัญหาหรือประยุกต์เข้ากับการทำงานในชีวิตจริง
รวมไปถึง ‘การเข้าใจตนเอง’ เนื่องจากในฝัน เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แม้กระทั่งโคลนนิ่งร่างเราอีกคนขึ้นมา เพื่อพูดคุย ปรึกษา หรือสะท้อนสิ่งที่กำลังรู้สึกและเผชิญอยู่ในชีวิตจริง ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้เราค้นพบว่า ต้นเหตุของความเศร้าและความวิตกกังวลที่ยู่ภายในจิตใจ แท้จริงแล้วมาจากไหนกันแน่
เหตุนี้เอง หลายคนจึงฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะได้มีความฝันแบบลูซิดดรีม โดยวาดเส้นเรื่องและการเดินทางของตัวเองเพื่อ ‘ความสนุก’ หรือ ‘ความบันเทิง’ คล้ายกับเล่นเครื่องเล่นเสมือนจริง และเมื่อตื่นจากฝัน พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้ให้ความเห็นว่าตัวเองรู้สึกมีความสุขมาก เมื่อสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในความฝันได้ โดยที่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ ลูซิดดรีมยังสามารถช่วย ‘ขจัดความกลัว’ ในจิตใจของเราได้อีกด้วย เชื่อว่าทุกคนย่อมมีความกลัวที่ซ่อนอยู่ อาจจะเป็นผี สัตว์ บุคคล หรือเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ฝังใจ แต่ในความฝัน เราสามารถควบคุมความกลัวและอันตรายเหล่านั้นได้ ทำให้ชีวิตจริงเรามีแนวโน้มที่จะกลัวสิ่งนั้นน้อยลง
“บางคนอาจค้นพบพลังวิเศษหรือความสามารถพิเศษขณะที่กำลังฝัน โดยพวกเขาสามารถต่อสู้หรือจัดการกับสิ่งที่มาทำร้ายได้ เช่น บินหนี หรือใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายนั้น” เดนโฮล์ม แอสปาย (Denholm Aspy) นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่องลูซิดดรีมกล่าว
แต่เนื่องจากความฝันแบบลูซิดดรีมไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะจำเป็นจะต้องมีการฝึกฝนร่างกายให้ไปถึงความฝันขั้นนั้น โดยที่จะต้องรู้ตัวว่านั่นคือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง นักวิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการเพื่อนำมาให้คนที่อยากมีความฝันแบบนี้ลองทำตามกันดู โดยเริ่มจาก
คอยเช็คตลอดว่าเป็นความฝันหรือเปล่า โดยใช้วิธี reality testing หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง inception วิธีนี้ก็เหมือนการที่เราพกลูกข่างเข้าไปหมุนในความฝันนั่นแหละ แต่เราสามารถทำได้ด้วยการลองกดนิ้วมือฝ่ามือ หรือทำสิ่งที่ยากที่จะทำในความฝัน เช่น อ่านหนังสือหลายๆ อย่าง ซึ่งถ้าหากทำไม่ได้ ก็แสดงว่าเรากำลังฝันอยู่นั่นเอง
หลังจากหลับไป 5 ชั่วโมง ให้ตื่นขึ้นมาแป๊บนึง จากนั้นก็กลับไปนอนต่อ เพื่อพยายามเข้าสู่การนอนหลับช่วง REM
ทุกครั้งที่จะกลับมานอนต่อ ให้บอกตัวเองซ้ำๆ ว่ารอบหน้าเราจะต้องรู้สึกตัว เพื่อชักจูงให้เกิดความฝันที่ชัดเจนมากขึ้น ตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วกว่าเวลาตื่นปกติ เพราะการตื่นขณะที่กำลังฝันแล้วกลับมานอนต่อ จะช่วยให้เรานึกถึงความฝันที่เราเพิ่งฝันไปซ้ำๆ และตระหนักถึงความฝันนั้นได้มากขึ้น
ลูซิดดรีมอาจเป็นความฝันที่สวยงาม และเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนักไว้ก็คือ นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งสิ่งที่เราทำได้ก็คือ เราสามารถนำความฝันในครั้งนี้มาใช้ประโยชน์อะไรกับชีวิตเราได้บ้าง
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://classifieds.usatoday.com/blog/marketplace/5-great-benefits-of-lucid-dreaming/
https://www.healthline.com/health/healthy-sleep/how-to-lucid-dream#how-to-lucid-dream
https://www.medicalnewstoday.com/articles/323077#What-are-its-applications?
#Goodsmorning #TheMATTER