หนังสือเล่มของเขายังอยู่บนชั้นที่สะกิดเรียกให้นึกถึงอยู่ทุกวัน เช่นเดียวกับเสื้อของฉันที่เขายังใส่อยู่เสมอ ยังนอนไม่หลับทุกคืนวันเสาร์เหมือนเดิมหรือเปล่า ยังจำเพลงโปรดของฉันได้เสมอใช่ไหม ทุกอย่างแสนชัดเจนแต่ไม่อาจจับต้องได้ นี่น่ะหรอคนที่ไม่เคยเป็นอะไรต่อกันสักอย่างเดียว
ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยห่างหาย แต่ก็ไม่ได้ลงเอยกัน เป็นเหมือนห้วงความรู้สึกที่ปกคลุมเหมือนหมอกหนาอยู่ในใจ รู้สึกเสมอว่ามันอยู่ตรงนั้น เข้าใกล้ได้เพียงครู่ แต่ไม่เคยจับต้องมันได้เลย ยิ่งไขว่คว้ายิ่งห่างหาย ราวกับทำได้เพียงเฝ้ามองและจดจำเท่านั้น
เหมือนเส้นตรงสองเส้นที่ขีดขนานข้างกันมาเสมอ มีเข้ามาใกล้ในช่วงสั้นๆ แต่เป็นอันต้องห่างกัน แล้ววกกลับมาใหม่ ฉายซ้ำแบบเดิมตลอดมาและอาจหมายถึงตลอดไปด้วย แม้จะมีความรู้สึกต่อกันที่ชัดเจนแค่ไหน แต่จังหวะชีวิต ความพร้อม หรือเงื่อนไขบางอย่าง กลายมาเป็นเหตุผลที่ทำให้ความรักครั้งนี้ไม่เคยลงเอยอย่างที่ใจหวังเลย
ความสัมพันธ์ที่เรากำลังกล่าวถึงนี้ ไม่ได้มีชื่อเรียกหรือคำนิยามที่ชัดเจนนัก ใกล้เคียงที่สุดคงจะเป็น On-Again, Off-Again Relationships ที่เรามักจะเรียกแบบภาษาพูดว่า ‘ความสัมพันธ์แบบ On-Off’ หมายถึงคู่รักที่เลิกรากันไป แต่ก็ยังกลับมามีความรู้สึกต่อกัน ทั้งที่รู้ว่าความสัมพันธ์นี้มันไม่เวิร์กก็ตาม
แต่รูปแบบที่ว่าเราหยิบยกมาในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงรักที่เคยงอกงามแล้วเหี่ยวเฉาไปเท่านั้น เรากำลังโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์แบบจังหวะชีวิตไม่เคยตรงกัน เลยทำให้ต่างฝ่ายได้เพียงแต่แวะเวียนเข้ามาแล้วจากไปเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจปล่อยมือไปจากกันได้เลย เราพร้อม เขาไม่พร้อม เราไปมีชีวิตของตัวเอง เขาเกิดพร้อมขึ้นมา แต่พอเรากลับไป ก็ไม่ใช่เวลาที่ตรงกับเขาอีกครั้ง แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ลองนึกถึงภาพยนตร์อย่าง One Day, Love Rosie หรือ Love and Other Drugs เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ได้พอสมควร
แค่รักกันมันจะยากอะไร?
ใครจะไปคิดกันล่ะว่าความรักที่ทั้งคู่ต่างมีใจให้กัน กลับไม่มีท่าทีจะลงเอยกันได้ หากมองจากมุมคนนอก อาจรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันช่างน่ารำคาญเสียจริง แค่รักกันก็ตกลงปลงใจกันไปมันจะยากอะไร นอกเสียจากว่าไม่ได้รักและอยากจะกั๊กเอาไว้แค่เท่านั้น แต่เบื้องหลังการตัดสินใจใดๆ ที่แม้คนนอกจะมองว่ามันงี่เง่า ไร้สาระขนาดไหน มันย่อมมีเหตุผลที่เจ้าตัวไตร่ตรองมาแล้วทั้งนั้น (แต่ไตร่ตรองมาดีไหม นั่นก็อีกเรื่อง)
ช่วงชีวิตที่ผกผัน ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน สุขภาพกาย สุขภาพใจ ระยะทางที่ห่างเกินไป หรือเหตุผลอื่นๆ ที่ทำให้ยังไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ ล้วนส่งผลให้ทุกการตัดสินใจในชีวิต ต้องผ่านการคิดเพิ่มอีกสักสิบตลบ หากเกิดคำถาม เกิดความไม่มั่นใจแม้แต่นิดเดียวแล้วล่ะก็ ช่วงเวลาที่แสนจะอ่อนไหวเหล่านั้น พร้อมจะกดดันให้เจ้าตัวต้องสละทุกความเสี่ยงออกไป เพื่อให้ชีวิตของตัวเองเข้าที่เข้าทางให้ดีเสียก่อน
ลองนึกภาพหากเราอยู่ในช่วงที่หน้าที่การงานยังไม่มั่นคง มีเรื่องให้สะสางไม่เว้นวัน กดดันมาจนถึงสุขภาพใจ ลำพังจะประคับประคองตัวเองในทุกวันว่ายากแล้ว นั่นคงไม่ใช่เวลาที่ดีเท่าไหร่หากต้องมีใครสักคนที่เข้ามาแชร์ชีวิตกันตรงกลาง รับผิดชอบต่อความรู้สึกของกันและกัน เลยทำให้ไม่อาจจะลงเอยกันได้ในทุกครั้งที่ใจอยากจะทำ
คนที่อยู่ในความสัมพันธ์นี้ ย่อมรู้ดีว่าสิ่งนี้มันช่างน่าอึดอัดขนาดไหน อยากให้มีวันได้ลงเอยให้มันหายคาใจ จะได้ไม่ต้องมี what if เฝ้าฝันถึงความเป็นไปได้อีกร้อยแปดทางอยู่แบบนี้่ เพราะรู้ว่าอะไรเหล่านั้นแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง แต่เมื่อทุกอย่างมันช่างยากเย็น ทำไมคนเราถึงยังเลือกกลับไปหาความสัมพันธ์ที่รู้ว่ามันไม่เวิร์กกันล่ะ?
แม้จะเป็นเรื่องของความรู้สึก แต่วิทยาศาสตร์มีคำตอบ งานวิจัยตีพิมพ์บน Journal of Personal and Social Relationships ในหัวข้อ Perceived relational stability in on-again/off-again relationships กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เราย้อนกลับไปหาความสัมพันธ์ที่ไม่เวิร์กซ้ำๆ เพราะว่าความสัมพันธ์นี้ช่วยเติมเต็มความต้องการลึกๆ ในใจบางอย่าง โดยเฉพาะการพึ่งพาอาศัยกันทางอารมณ์ ทั้งที่เจ้าตัวอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม
ข้อสันนิษฐานต่อมา เพราะเรารู้ว่าเราจะมีพื้นที่ในใจของเขาเสมอ งานวิจัยในหัวข้อ Fear of Rejecting Others: An Overlooked Construct in Dating Anxiety กล่าวว่า บางคนมักจะรู้สึกกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ เพราะไม่อยากถูกปฏิเสธ ไม่อยากผิดหวัง จึงวนกลับไปหาความสัมพันธ์เดิมซ้ำๆ แม้จะรู้ว่ามันก็ทำร้ายความรู้สึกเราไม่ต่างกัน แต่การถูกทำร้ายจากคนใหม่ๆ เพิ่มเติม ดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่า และความสัมพันธ์เก่านี้ จะยังคงมีพื้นที่ที่เราเคยยืนไว้ให้เราเสมอ
โดยรวมแล้วเหมือนเป็นความปลอดภัยทางใจ ที่ทำให้เราเลือกวนกลับไปหาความสัมพันธ์ที่ทำให้เราอุ่นใจเสมอ (แต่เจ็บไหมก็อีกเรื่อง) จะเป็นอะไรหรือไม่ได้เป็น จะมีชื่อเรียกความสัมพันธ์ไหมก็ไม่สน รู้แค่ว่าทุกครั้งที่ในใจเว้าแหว่งเมื่อไหร่ จะมีใครคนนั้นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวไว้เสมอ
ถามว่านี่จะเป็นเหตุผลทั้งหมดเลยหรือเปล่าที่ทำให้เราไม่เคยปล่อยความสัมพันธ์นี้ไป ก็อาจจะยังไม่ใช่ แค่อยากอธิบายในอีกมุมหนึ่งนอกจากคำตอบแสนเอาแต่ใจเท่านั้น วันหนึ่งข้างหน้าที่อะไรๆ ลงตัว เราอาจจะพร้อมกับรักครั้งนี้โดยไม่กลัวอะไร จนเหตุผลที่ว่ามันเป็นเพียงพื้นที่ปลอดภัยทางใจก็อาจใช้ไม่ได้แล้วเหมือนกัน
แต่กว่าจะไปถึงวันนั้น หากเราเอาแต่วนเวียนกันไปมา จนเราเกิดตั้งคำถามกับตัวเอง ว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน เราปล่อยให้มันยืดเยื้อมานานจนลืมไปว่า เราก็สามารถลุกขึ้นมาหาคำตอบให้ตัวเองได้เหมือนกัน หากเราอยากลองประเมินว่าเราจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เราจะพิจารณาจากอะไรบ้าง
- สิ่งนี้มันกระทบกับความสัมพันธ์ปัจจุบันหรือเปล่า เราอยู่กับความรู้สึกที่มีต่อใครคนนั้นมานาน นานจนมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว จนเราอาจไม่เคยสังเกตว่า เรามักตัดสินใจในเรื่องความสัมพันธ์โดยอ้างอิงจากคนนั้นอยู่หรือเปล่า บางคนไม่อยากแต่งงาน บางคนไม่อยากมีใครใหม่ เพราะยังอยากเฝ้ารอถึงวันที่รักนั้นจะเป็นไปได้ หากสิ่งนี้มันกระทบถึงการตัดสินใจของเรา ทั้งที่มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ตรงหน้าด้วยซ้ำ เราอาจจะต้องชั่งน้ำหนักแล้วว่าสิ่งไหนสำคัญกับเรามากกว่ากัน
- เหมือนจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่เคยเป็นไปได้เหมือนกัน สำหรับบางคู่ แม้จะไม่เคยลงเอยกัน แต่เคยก้าวไปไกล มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนไม่อาจเรียกว่าคนอื่นคนไกล แบบนั้นอาจเข้าใจได้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกว่ารักนี้จะเป็นไปได้เสมอ แต่บางคู่ กลับไม่เคยเข้าใกล้ความเป็นไปได้ใดๆ เลย อาจเป็นการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน ความคิดที่ทำงานแทนกันมากไป ทำให้เราไม่ได้มองความสัมพันธ์นี้ในแบบที่มันเป็นจริงๆ
- ไม่เคยรู้ว่าต้องการสิ่งเดียวกันหรือเปล่า เราเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้รักกันในฐานะคนรักอย่างเปิดเผย แต่เรากลับไม่เคยรู้เลยว่า เขามีฝันเดียวกับเราหรือเปล่านะ หากจะป้อนยาแรงอีกหน่อย ก็ต้องบอกใบ้ว่า ที่ความสัมพันธ์มันมาๆ หายๆ แบบนี้ อาจเป็นความตั้งใจของเขาแต่แรกที่ไม่ได้อยากจะผูกมัดกับเราหรือเปล่า หากเราไม่เคยรู้เลยว่าครั้งนั้นมันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร ครั้งอื่นๆ อีกล่ะ เพราะอะไร เราอาจจะต้องพิจารณาแล้วว่า จริงๆ แล้วเรารู้จักเขาดีแค่ไหน เท่าที่เราบอกตัวเองไว้หรือเปล่า
คิดไปคิดมา พิจารณาทุกข้อที่กล่าวมาแล้ว หรือจะตัดสินใจได้ปุบปับเลยก็ตาม หากเราอยากจะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์นั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหักดิบ ตัดการติดต่อจากกันไปเลย เมื่อเขาไม่เคยเข้ามาเป็นคนตรงหน้าที่จับต้องได้แล้ว เพียงแต่ล่องลอยไปมาบนโซเชียลมีเดีย ผ่านมาผ่านไปอยู่อย่างนั้น คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดคนที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันแข็งแรงไปจากกัน
และอีกหนึ่งสิ่งคือเลี่ยงการเดตไปสักพักก่อน ไม่ใช่ว่าพอเหงาจากการหักดิบเขาออกไป ยิ่งเอาความสัมพันธ์ใหม่มาทับถมแทนช่องว่างเหล่านั้น หากความสัมพันธ์ใหม่ไม่เวิร์กขึ้นมา หรือว่ามันไม่ถูกใจเท่าใครคนนั้น สุดท้ายจะเป็นเราเองที่วิ่งวนกลับไปหาความสัมพันธ์เดิมนั้นเสียเอง
ไม่มีใครรู้วันข้างหน้า มันอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น เราและเขาอาจห่างหายกันไปเองโดยเราไม่ต้องทำอะไร หรือเราอาจลงเอยกันในที่สุดก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องรู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง ว่าเราต้องการอะไรในความสัมพันธ์นี้ สิ่งนี้มันกำลังกัดกินเราจนมีปัญหากับความสัมพันธ์อื่นๆ หรือเปล่า และไม่เห็นแก่เขามากจนลืมความรู้สึกของตัวเองไป
“Whatever happens tomorrow, We’ve had today. And if we should bump into each other sometime in the future, well that’s fine too, we’ll be friends.” – One Day
อ้างอิงจาก