รู้หรือไม่? ทุกการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การเปิดแอร์ การซื้อเสื้อผ้า หรือการเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่ ล้วนก่อให้เกิด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกเดือดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนในปัจจุบันทั้งสิ้น
แต่หากพูดถึง ‘ปัญหาสิ่งแวดล้อม’ หลายคนคงมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหรือเป็นข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจ
เพื่อให้สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป The Active ได้จัดนิทรรศการ ‘Greencery ร้านสะดวก Act’ ผ่านรูปแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างประสบการณ์ (Immersive Experiences) เชื่อมโยงเรื่องราวในชีวิตประจำวันกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เข้าใจง่ายขึ้น พร้อมชวนคนมาเลือก ‘ซื้อการกระทำ’ เพื่อช่วยโลกให้พ้นจากวิกฤติสภาพอากาศ
โดยนิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘Bangkok Climate Action Week 2025 (BKKCAW2025)’ สัปดาห์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการลงมือทำ จากความร่วมมือของภาคประชาสังคมและกรุงเทพมหานคร
The MATTER ได้พูดคุยกับ ‘ไอ่ไอ๊-อนวัช มีเพียร’ และ ‘มิก-ธนธร จิรรุจิเรข’ จาก The Active ผู้ร่วมออกแบบกิจกรรม ‘Greencery ร้านสะดวก Act’ ถึงที่มาและแนวคิดของนิทรรศการที่มีสีสันสะดุดตา และอาจเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

ภาพ ‘ไอ่ไอ๊-อนวัช มีเพียร’ (ซ้าย) และ ‘มิก-ธนธร จิรรุจิเรข’ (ขวา)
“เราเห็นงาน BKKCAW2025 ตั้งแต่ต้นปี และ Thai PBS ก็วางประเด็นนี้เป็นวาระสำคัญ เราที่สนใจเรื่องนี้ (สิ่งแวดล้อม) เลยอยากทำอะไรสักอย่างขึ้นมา… อยากทำอีเวนท์ให้เข้าถึงคนได้มากขึ้น เพราะเราพูดเรื่อง Climate Change น่าเบื่อๆ มาเยอะมาก นี่คงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ลองเราวิธีใหม่ๆ ด้วยเครื่องมือใหม่ๆ” อนวัช กล่าว
Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) คือ สัปดาห์การลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศ เทศกาลที่มีจุดมุ่งหมายในการทำให้ประเด็นสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้จริง
โดยมี ‘ลีโอ-แดเนียล ลีโอ ฮอร์น พัธโนทัย’ เป็นผู้ก่อตั้ง Just Transitions Incubator (JUTI) ริเริ่มให้เกิดเทศกาลดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งนำรูปแบบกิจกรรม Climate Action Week จากลอนดอนมาปรับใช้ จากความร่วมมือกับ กทม. และองค์กรภาคประชาสังคม โดยรวมได้ 230 กิจกรรมในหนึ่งสัปดาห์ทั่วกรุงเทพฯ
ซึ่งลีโอมองเห็นเหมือนกับใครหลายคนว่า ทุกวันนี้ Climate Change อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวมนุษย์ เนื่องจากข้อมูลที่ต้องสื่อสารส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้นสถิติ ตัวเลข หรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซ้ำการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ต่างต้องใช้ ‘การผลักดันเชิงนโยบาย’ เสียส่วนใหญ่ คนทั่วไปก็อาจรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง”
เป้าหมายของการทำนิทรรศการสัปดาห์เพื่อการลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศนี้ จึงอาจช่วยให้ประชาชนทั่วไปตระหนักว่า “เราต่างมีสิทธิที่จะเข้ามาร่วมแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และเราสามารถผลักดันให้มีการแก้ในภาพใหญ่ได้ หากเราร่วมมือกัน”
ซึ่งเป็นใจความสำคัญของกิจกรรม ‘Greencery ร้านสะดวก Act’ ที่หยิบความสะดวกสบายในการซื้อของของลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism) สังคมที่มองว่าการบริโภคสินค้าและบริการเกินความจำเป็นนั้นปกติ มาใช้ในการเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์กับจำนวนคาร์บอนที่ปล่อยของแต่ละคน ให้เข้าใจง่ายที่สุด

ภาพ กิจกรรมโซนที่ 2 กรุงที่สุดที่สุด: เลือกขีดความร้อนของกรุงเทพฯ
‘Greencery ร้านสะดวก Act’ ถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน ดังนี้ ซึ่งพาไปดูตั้งแต่ต้นตอที่ทำให้โลกร้อน อุณหภูมิความร้อนของกรุงเทพฯ แต่ละเขตในปัจจุบัน การเลือกวาระที่อยากให้รัฐบาลจัดการ และการร่วมสร้างข้อตกลง (กับตัวเอง) ว่าเราจะทำอะไรเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบ้าง
ทั้งนี้ ผู้ร่วมนิทรรศการต้องลงทะเบียนเพื่อเลือกซื้อการลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศ และเลือกตอบแบบสอบถามไลฟ์สไตล์ของคุณ เช่น มีเนื้อวัวมากแค่ไหนในการกินอาหารแต่ละมื้อ เปิดแอร์นอนทุกวันหรือไม่ เดินทางด้วยวิธีการใด ซื้อเสื้อผ้าไปเยอะแค่ไหน เพื่อรับ ‘ใบเสร็จผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม’ จากไลฟ์สไตล์ของคุณ หลังเช็กเอาต์ออกจากนิทรรศการ
“แม้เราจะชวนให้ทุกคนนับคาร์บอน แต่นั่นเป็นวิธีที่เราอยากให้เห็นว่า เรื่องพวกนี้ใกล้ตัวเราแค่ไหน ไม่ได้ต้องการสื่อสารว่า คนนั่งเครื่องบินผิด ใช้ไฟฟ้าผิด เปิดแอร์ผิด ไม่ได้บอกแบบนั้น” อนวัช กล่าว
อนวัชเล่าว่า จุดมุ่งหมายของ ‘ใบเสร็จผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม’ คือ ต้องการชี้ให้เห็นว่า การที่ใช้ชีวิตของพวกเราในทุกวันนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่อยากชวนคิดให้ไกลขึ้นว่า การที่เราใช้ชีวิตแล้วส่งสร้างก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากทุกวันนี้เป็นความผิดของใคร

ภาพ กิจกรรมโซนที่ 3 ซูเปอร์วิกฤติ: เลือกวาระที่รัฐต้องจัดการ
“เหล่านี้ผิดที่เราหรือระบบ ใครต้องแก้สิ่งนี้ ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ ผลกระทบเยอะกว่านี้ อุณหภูมิสูงกว่านี้ ใครต้องเป็นคนจ่าย สุดท้ายพวกเราก็ต้องจ่าย” อนวัช กล่าว
อนวัชมองว่า ทุกคนต่างเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาชนทั่วไปอย่างเราไม่ใช่หนึ่งในนั้น และไม่ได้ต้องการบอกให้ทุกคน ‘หักดิบ’ การใช้ชีวิตของตัวเอง

ภาพ รายการสิ่งของและมาตรการในนิทรรศการ Greencery
ทั้งนี้ หลายคนอาจมองว่า การทำนิทรรศการนี้ก็อาจเป็นการ ‘สร้างขยะ’ ขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจย้อนแย้งกับประเด็นที่นิทรรศการต้องการสื่อสาร
ธนธร เสริมว่า การทำนิทรรศการนี้มีทั้งการผลิตของใหม่และการนำของเก่ามาปรับใช้ โดยนิทรรศการได้ ‘ออกแบบมาตรการ’ สำหรับจัดการอุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ โดยหลายส่วนจะถูกนำไปใช้เป็นของตกแต่งหรือของเล่นในวันเด็ก หรือนิทรรศการอื่นๆ ต่อไป
สุดท้ายนี้ อนวัชอยากเชิญชวนให้ ‘ทุกคน’ ให้ร่วมลงมือทำอะไรสักอย่าง เพียงก้าวเล็กๆ ก็สำคัญ เช่น การสนับสนุนองค์กรที่ขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อม การหาข้อมูล การร่วมผลักดันนโยบายต่างๆ และอยากให้เชื่อมั่นว่า “ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง…เราสามารถทำได้ เพราะนี่คือเรื่องของเราทุกคน”