เป็นการการต่อสู้ที่ยาวนาน ใช้เวลา 4 ปีครึ่ง เกือบจะข้าม 3 รัฐบาล (รัฐบาล คสช. รัฐบาลประยุทธ์ และรัฐบาลชุดต่อไปที่กำลังจะเลือกตั้ง) สำหรับการทวงถามหา “ความโปร่งใส..ตรวจสอบได้” จากองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่าง ป.ป.ช.
เมื่อเช้าวันนี้ (21 เม.ย.2566) มีการอ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ ป.ป.ช. ‘ต้องเปิดเผย’ ผลการตรวจสอบคดีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยเป็นรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในรัฐบาล คสช. ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน กรณีสวมใส่นาฬิกาหรูหลายเรือน โดยเจ้าตัวอ้างว่ายืมเพื่อนสนิทมาใส่ ไม่ได้เป็นเจ้าของโดยตรง ที่หลายๆ คนเรียกกันว่า ‘คดีนาฬิกายืมเพื่อน’ ซึ่ง ป.ป.ช. มีมติช่วงปลายปี 2561 ไม่รับกรณีนี้ไว้ไต่สวน
คดีนี้ เป็นกรณีที่วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน เป็นผู้ฟ้อง ยังไม่ใช่กรณีของผู้สื่อข่าว The MATTER ที่แม้จะมีเนื้อหาการขอข้อมูลข่าวสารคล้ายๆ กัน แต่ต้องรอนัดหมายจากศาลปกครองต่อไป
ศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลที่ ป.ป.ช. ต้องเปิดเผยผลสอบคดีนาฬิกายืมเพื่อนไว้ว่า
- คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือ กวฉ. ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสาร มาตรา 37 “ถือเป็นที่สุด” โดยคดีนี้ กวฉ.สั่งให้ ป.ป.ช. ต้องเปิดเผยข้อมูลให้กับวีระแล้ว แต่ทาง ป.ป.ช. ปฏิเสธ เป็นเหตุให้เรื่องต้องมาถึงศาลปกครอง
- ศาลยังได้วางแนวบรรทัดฐานไว้อย่างน่าสนใจว่า ในกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 36 กำหนดไว้ว่า ในคดีใดที่ ป.ป.ช.ตรวจสอบ “และมีมติแล้ว” สามารถเปิดเผยข้อมูลได้
- ป.ป.ช. มักอ้างว่า คดีนาฬิกายืมเพื่อนจบไปเฉพาะข้อกล่าวหาไม่แจ้งบัญชี ยังเหลือข้อกล่าวหารับทรัพย์สินเกิน 3,000 บาท กับข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ที่จนป่านนี้ก็ยังตรวจสอบไม่แล้วเสร็จ แต่ศาลชี้ว่าทั้ง 3 ข้อกล่าวหา “เป็นคนละกรณีกัน”
ทั้งนี้ วีระได้ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคดีนาฬิกายืมเพื่อนไป 3 รายการ โดยศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าบางรายการอาจไม่ต้องเปิดเผยทั้งหมด แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้ว่าให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
#Brief #ปปช #คดีกระดาษเปล่า #TheMATTER