‘การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่’ เป็นหนึ่งในวาระสำคัญของการเมืองไทย เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ถูกมองว่ามีที่มาจากคณะรัฐประหารและประชามติที่ไม่ชอบธรรม แม้รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาฯ และได้ผลสรุปตรงกันว่าต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นอกจากนั้น การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ยังเป็นประเด็นหาเสียงเลือกตั้งทั่วไป 2566 โดยแต่ละพรรคมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เมื่อวาน (15 ตุลาคม 2568) ที่ประชุมรัฐสภาลงมติแบบขานชื่อต่อเนื่องกัน 2 ครั้ง ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มเติมหมวด 15/1 ที่เสนอโดยพรรคประชาชน นำโดย พริษฐ์ วัชรสินธุ ได้รับการโหวต 300 คะแนน ให้ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาวาระที่ 2 ฉิวเฉียดกับพรรคภูมิใจไทยที่ผ่านวาระแรกเหมือนกันแต่รับการโหวตเป็นร่างหลัก 287 คะแนน
โดยหนึ่งในหลักการที่พรรคประชาชนยืนยันเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะท้อนความหลากหลายทางความคิดที่มีอยู่ในรัฐสภาและในสังคมไทย คือ เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้มากที่สุด โดยไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
แล้วร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยพรรคประชาชนมีใจความอย่างไร สอดคล้องกับหลักการที่พวกเขายืนยันไว้หรือไม่ The MATTER ได้สรุปมาให้แล้วในโพสต์นี้
หนึ่งในขั้นตอนที่จะเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ คือ ‘การเลือกตั้ง สสร.’ เนื่องจาก สสร. หรือ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ผ่านมาภาคประชาชนจึงมีแคมเปญ ‘ConForAll’ คือ เสนอให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดย สสร. มาจากการเลือกตั้ง 100% เพื่อให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงและรักษาผลประโยชน์ของประชาชน เป็นอิสระจากขั้วอำนาจเดิม (ที่อาจมาจากการแต่งตั้ง) และสร้างความรู้สึกให้ประชาชนร่วมเป็น ‘เจ้าของ’ รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
ถึงกระนั้น 10 กันยายน 2568 ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มีคำวินิจฉัยที่ 18/2568 เกี่ยวกับการทำประชามติ พร้อมประโยคแถมที่นอกเหนือจากการทำประชามติว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” โดยไม่มีเหตุผลหรือแม้กระทั่งคำอธิบายเพิ่มในคำวินิจฉัยฉบับเต็ม
คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลให้แนวคิดเรื่องโมเดล สสร. ของพรรคการเมืองต่างๆ มีลักษณะร่วมกันคือ พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้
โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนได้เสนอโมเดลผู้ร่างรัฐธรรมนูญและที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน มาจากการเลือก 2 ครั้ง
-
- เริ่มจากให้ประชาชนออกเสียงเลือกตั้งให้ได้ผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน 70 คน จากระบบคล้ายบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีม และใช้เขตเลือกตั้งทั้งประเทศ เมื่อได้คะแนนดิบมาแล้ว จะมีการคำนวณคะแนนอีกทีหนึ่งเพื่อหาคนเข้ารอบ
- จากนั้น ให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน โดยแบ่งสัดส่วนตามจำนวน สส. และ สว. ที่อยู่ในสภา
- มีเวลาทำงาน 270 วัน (9 เดือน) นับแต่วันที่ประชุมครั้งแรก เพื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ
- จัดทำพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 180 วัน นับแต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้
2) สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน
-
- มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
- กำหนดให้มีสมาชิกสภาดังกล่าวอย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน แต่ไม่เกิน 5 คน ตามสัดส่วนประชากรของแต่ละจังหวัด (ทุกจังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร)
- ทำหน้าที่เป็น ‘ที่ปรึกษา’ รับฟังและรวบรวมความคิดเห็นจากประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อเสนอต่อกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงแจ้งให้รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- แสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อเสนอแนะต่อร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ต่างๆ โดยไม่ได้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตรง
ทั้งนี้ เมื่อกรอบเวลาการทำงานของผู้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นลง และส่งให้รัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่ ซึ่ง สส.และ สว. มีอำนาจที่จะโหวตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างทั้งฉบับ แต่ไม่มีอำนาจที่จะขอแก้ไขบางประเด็น โดยกำหนดให้รัฐสภาพิจารณาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ
หากรัฐสภาเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดทำประชามติ เพื่อถามประชาชนอีกครั้งว่า “เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?” แต่หากรัฐสภาไม่เห็นชอบร่างดังกล่าว ก็จะเป็นอันตกไปโดยไม่ต้องทำประชามติ
สุดท้ายนี้ การลงมติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นเพียงก้าวแรกของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังต้องจับตาดูวาระที่ 2, 3 และการพิจารณาร่างกฎหมายโดยวุฒิสภาต่อไป