ม็อบนักเรียน นักศึกษา, การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่, คดีบอสอยู่วิทยา และเหตุน้ำท่วมจังหวัดสุโขทัย ท่ามกลางข่าวสารบ้านเมืองที่เกิดขึ้นมากมาย อีกข่าวนึงที่อยู่กับเรามาตลอดหลายเดือนไม่เคยหายไปก็คือเรื่องของคดี ‘น้องชมพู่’ เด็กสาวที่หายตัว และพบเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งนอกจากน้องชมพู่แล้ว ญาติๆ รอบตัวของน้องเอง ก็กลับเป็นที่พูดถึง และมีชื่อเสียงขึ้นมาพร้อมๆ กับคดีนี้
หนึ่งในบุคคลที่กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจากคดีนี้ ก็คือ ‘ลุงพล’ ซึ่งตอนนี้ มีช่องยูทูปของตัวเอง มีแฟนคลับ ไปถึงได้ออกงานแสดงต่างๆ มากมาย ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม และสื่อที่ให้พื้นที่กับลุงพลว่า ทำไมถึงตั้งใจทำข่าว และปั้นเรื่องราวของลุงพลมากมาย รวมถึงสังคมได้อะไรจากข่าวนี้ จนเกิดเป็นกระแส #แบนลุงพล ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เกิดอะไรขึ้นกับการนำเสนอข่าวของสื่อไทย ทำไมลุงพลถึงโด่งดังขึ้นมา กระแส #แบนลุงพล เกิดขึ้นได้อย่างไร สังคมมอง และคิดเห็นอย่างไรกับการทำข่าวของน้องชมพู่ และลุงพล The MATTER สรุปมาให้แล้ว
1) ลุงพล-ไชย์พล วิภา เป็นลุงเขยของ น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบที่หายออกจากบ้านพักที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ที่หายตัวไปในวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากทำการค้นหาถึง 4 วัน ก็มีการพบศพของน้อง ในสภาพเปลือย ที่ห่างจากบ้านพักประมาณ 2 กิโลเมตร ทำให้มีการตั้งข้อสงสัยถึงการตายของน้องว่า อาจมีเงื่อนงำ
2) ในช่วงของการสืบคดี และชันสูตรศพน้องชมพู่ นอกจากแม่ และพ่อของน้องชมพู่แล้ว ลุงพล ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของคดีเช่นกัน จากการที่แม่ของน้องชมพู่บอกว่า ลุงพลเป็นคนรักหลานสาวมาก แต่ไม่ได้มาปรากฏตัวที่งานศพเลย รวมไปถึงคำบอกเล่าหลายอย่างของลุงพล ที่มาตรงกับ สะดิ้ง พี่สาวของน้องชมพู่ ขณะที่ลุงพลเองก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองโดยตลอด
3) ในระหว่างที่ลุงพลตกเป็นผู้ต้องสงสัย ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ จำลองสถานการณ์การเกิดเหตุต่างๆ ถึงความเป็นไปได้ที่ลุงพลจะเป็นคนร้าย ขณะที่นอกจากการนำเสนอประเด็นเรื่องการสืบสวนแล้ว สื่อต่างๆ ยังได้นำเสนอข่าวลุงพลที่ไปไกลกว่านั้น แต่ยังไปถึงประวัติ และชีวิตของลุงพล
4) มีการมองว่า สกู๊ปที่สื่อเสนอเหล่านี้ กลายเป็นเหมือน ‘เรียลลิตี้’ ชีวิตของลุงพล เพราะมีทั้งการนำเสนอตั้งแต่สัดส่วน น้ำหนัก ส่วนสูง ไปถึงภาพลุงพล ในสมัยที่เป็นหนุ่ม โดยมีกระแสตอบรับที่มองว่าลุงพลหน้าตาดี ทั้งยังมีเรื่องงานอดิเรก ชีวิตประจำวัน เพลงที่ชอบ อาหารที่ชอบ ไปถึงเรื่องของทีมฟุตบอลโปรด
5) จากการซึบซับเรื่องราวของลุงพลผ่านสื่อ ทำให้หลายๆ คนที่รับสื่อนั้น เริ่มมองลุงพลเปลี่ยนไป มีประเด็นเรื่องความสงสารลุงพล ที่ถูกทำให้เป็นผู้ต้องสงสัย และอาจถูกใส่ความทั้งๆ ที่บริสุทธิ์ เพราะตลอด 2 เดือนนั้นลุงพลต้องรับแรงกดดัน ทั้งการงานจากการประกอบอาชีพก็หายไป เพราะคนหวาดกลัว แต่ลุงพลก็ยังคงใช้ชีวิต และยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองผ่านสื่อตลอด จนเริ่มเกิดกระแส #Saveลุงพลขึ้นมา
6) หลังจากการสอบสวน และชันสูตรศพเสร็จสิ้น จนมีการแถลงความคืบหน้า ประเด็นผลชันสูตรศพที่ระบุว่า สาเหตุที่น้องชมพู่เสียชีวิตคือขาดอาหารและน้ำ จนเสียชีวิต ไม่มีร่องรอยการฆาตรกรรม ทำให้ความสงสัยในตัวลุงพลลดลง บวกกับการรับรู้เรื่องราวชีวิตในมุมต่างๆ ของลุงพลที่มากขึ้น ทำให้กระแสของลุงพลเปลี่ยนไป จากได้รับความสงสาร เป็นได้รับความนิยม เริ่มมีแฟนคลับ มีคนให้กำลังใจ ซึ่งค่อยๆ กลายเป็นรูปแบบของการให้ของขวัญ มีการสร้าง ปรับปรุงบ้านให้ ให้เฟอร์นิเจอร์ และของอีกมากมายด้วย รวมถึงกลุ่ม ‘ลุงพล(ไชย์พล วิภา)บ้านกกกอก แฟนคลับ’ ก็มีสมาชิกมากถึง 1.3 แสนคนเลยทีเดียว
7) นอกจากความนิยมที่เพิ่มขึ้น ก็มีการเสนอการทำภาพยนตร์เรื่องราวของน้องชมพู่ แต่ครอบครัวของน้องเองก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ไปถึงแผนการทำทัวร์พื้นที่บ้านกกกอก ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ แต่ทางครอบครัว และลุงพลเองก็ปฏิเสธเช่นกัน และมองว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
8.) แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเริ่มเป็นกระแส และที่โด่งดัง ลุงพลก็เริ่มมีการผลิตคอนเทนต์ของตัวเองออกมา ผ่านการเปิดช่องยูทูปของตนและครอบครัว ในวันที่ 14 สิงหาคม ในชื่อช่อง ‘ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี่’ ซึ่งนับจนถึงวันนี้ (9 กันยายน) มียอดติดตามช่องนี้ถึง 2 แสนคนแล้ว และคลิปที่มียอดวิวมากที่สุดคือคลิป 2.19 นาที ที่ ‘ลุงพล กินข้าวเช้า #ป้าแต๋นถ่าย’ ซึ่งมียอดวิวถึง 1.3 ล้านวิว
9) ไม่เพียงเท่านั้น ลุงพลเอง ยังเริ่มรับงานบันเทิง เดบิวต์ด้วยการไปฟีทเจอริ่งกับนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง จินตรา พูนลาภ ในเพลง ‘เต่างอยฉบับ จินตหรา feat. ลุงพล’ ซึ่งมียอดวิวทะลุ 10 ล้านวิวแล้ว และมีข่าวว่าลุงพลได้ค่าตอบแทนจากงานชิ้นนี้ถึง 1 แสนบาท โดยทั้งคู่ยังได้ออกงานคู่กันเมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ในงานบวงสรวงไหว้สาพญาเต่างอย ประจำปี 2563 ด้วย
10) เมื่อเริ่มรับงานบันเทิง ก็ต้องมีผู้จัดการส่วนตัว ‘อุ๊บ วิริยะ วงษ์อาจหาญ’ นักปั้นดารา และผู้จัดการ ก็ได้ออกตัวว่าจะเป็นผู้จัดการให้ลุงพล เพราะกลัวว่าลุงพลอาจโดนหลอกลวง ทั้งตนจะจัดสรรเงินอย่างเป็นธรรม ซึ่งมีการป้อนงานให้ลุงพล 7-8 งานแล้ว โดยมีทั้งงานรีวิวรถยนต์ชื่อดัง, งานเดินแบบการกุศล อุ๊บแฟชั่นโชว์ ฟอร์ ด๊อก แอนด์ แคท ครั้งที่ 4 ฯลฯ
11) ในโซเชียลเอง เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความเห็นถึงข่าวของลุงพล โดยมีการมองว่า สื่อไม่ควรปั้นลุงพลจากผู้ต้องสงสัย จนกลายเป็นที่โด่งดัง ทั้งเปรียบเทียบข่าวลุงพล กับการทำคดี ที่ตอนนี้ไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม และพื้นที่ข่าวลุงพลที่มีมากเกินจำเป็น เปรียบเทียบกับข่าวอื่นๆ ที่ควรได้รับความสนใจมากกว่า รวมถึงดารา และนักร้องต่างๆ ไม่ควรให้พื้นที่กับลุงพล ที่ยังมีโอกาสเป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับคดีด้วย
12) จากกระแสนั้นเอง เริ่มมีการติดแฮชแท็ก #แบนลุงพล ตั้งคำถามกับกระแสความคลั่งไคล้ที่เกิดขึ้น ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิง และชาวเน็ตบางส่วนที่ไม่ต้องการสนับสนุนสินค้าใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับลุงพลด้วย ประณามสื่อที่ให้พื้นที่กับข่าวนี้ และตัวลุงพล จนทำให้ลุงพลกลายเป็นที่โด่งดัง เช่นเดียวกับ ‘กลุ่มคนรักแม่น้องชมพู่’ ที่ก็มีโพสต์จะแบนสินค้าที่จ้างลุงพลเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย
13) ขณะที่แฟนคลับลุงพลเอง ก็แสดงความเห็นต่อแฮชแท็กนี้ว่า ไม่ใช่ความผิดของลุงพล และขอเลือกจะ #saveลุงพล ที่ถูกใส่ร้ายให้เป็นผู้ต้องสงสัยแทน และมองว่าการงานของลุงพลในตอนนี้ ถือเป็นโอกาส และเป็นอาชีพสุจริต
14) ซึ่งในกระแสของการ #แบนลุงพล นอกจากการจะแบนสินค้าที่จ้างลุงพลแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่จะแบนช่องทีวีต่างๆ ที่นำเสนอ และปั้นข่าวลุงพลด้วย รวมถึงการถกเถียงถึงการนำเสนอ และหน้าที่ของสื่อต่อข่าวนี้ ซึ่งครูลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์ ครูสอนพิเศษ และพิธีกร ก็เป็นหนึ่งคนที่ออกมาตั้งคำถามผ่านทางทวิตเตอร์ถึงว่า สื่อได้เปลี่ยนเรื่องราวการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงให้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ และตั้งคำถามถึงองค์กรเหล่านี้ พร้อมชี้ว่า “ส่วนพวกเรา คงทำได้แค่ ไม่ต้องไปแชร์ข่าวพวกนั้นต่อ”
15) ด้านของบุคคลที่ทำงานสื่อเอง เช้าวันนี้เอง ก็มีหัวหน้าช่างภาพข่าวของทีวีดิจิทัลช่องหนึ่ง ที่นำเสนอข่าวลุงพลต่อเนื่อง ได้ประกาศถึงการลาออกจากสื่อที่ตนทำงานมาตั้งแต่เริ่มออนแอร์วันแรก รวมเวลา 6 ปีเศษผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยให้เหตุผลว่า “ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้” โดยเขาได้เขียนเล่าว่า
“เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์” และขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น และหวังว่าคนดูบางกลุ่มจะได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้ด้วย
รวมถึงล่าสุด ก็มีผู้สื่อข่าวของช่องหนึ่ง ที่ทำข่าวเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ก็ได้ประกาศยุติบทบาทผู้สื่อข่าว และ “ขอโทษทุกคนต่อการนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้น จนมันนำพาสังคมให้มาถึงจุดนี้ได้” เช่นกัน
16) ในตอนนี้ แฮชแท็ก #แบนลุงพล ก็ยังคงเป็นกระแสต่อเนื่อง โดยติดเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์ ด้วยยอดมากกว่า 3 แสนทวีต ซึ่งทิศทางกระแสข่าวของลุงพลจะเป็นอย่างไรต่อไป ในเมื่อมีทั้งคนที่ชื่นชม และต่อต้าน ? ข่าวลุงพลจะจบลงในวันไหน ? และหากมีคดีคล้ายคลึงกันในอนาคต สื่อจะนำเสนอ และปั้นบุคคลแบบลุงพลอีกไหม ? บทเรียนที่สื่อมวลชนถูกตั้งคำถามครั้งนี้ จะนำมาสู่การปรับ และเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เราคงต้องติดตาม และตั้งคำถามกันต่อไป
อ้างอิงจาก
https://www.dailynews.co.th/regional/793853
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_4870784
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000091931
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2186173
https://news.thaipbs.or.th/content/294621
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/888495
https://www.komchadluek.net/news/crime/442754
https://www.facebook.com/pg/thematterco/photos/?ref=page_internal
#Recap #TheMATTER