The Sandman หนึ่งในหนังสือการ์ตูนที่ดันบาร์ของความเป็นไปได้ว่าการ์ตูนสามารถพูดถึงอะไรได้บ้าง กำลังจะฉายเป็นเวอร์ชั่นคนแสดงบน Netflix ในอีกไม่กี่วันหลังจากการรอคอย 20 ปี
ก่อนที่ซีรีส์จะเริ่มฉายวันแรกในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.2022 นี้ The MATTER ขอมาเล่าถึงเรื่องราวและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ The Sandman ก่อนไปดูจริง
1. The Sandman เป็นซีรีส์ 10 ตอนที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์หนังสือการ์ตูนชื่อเรื่องเดียวกัน เขียนโดย นีล ไกแมน (Neil Gaiman) และวาดโดยนักวาดหลากหลายคน สร้างความแตกต่างในหน้าตาของหนังสือตอนสู่ตอน โดยเริ่มตีพิมพ์ตอนแรกในปี ค.ศ. 1989 ที่เส้นเรื่องหลักจบลงที่เล่ม 10 เมื่อ ค.ศ. 1996 ภายใต้สำนักพิมพ์ DC Comics และ Vertigo
ในปัจจุบันจักรวาลของเรื่องราวพิศวงของ The Sandman ยังได้รับการขยายเพิ่มผ่านภาคแยกหรือการเข้าร่วมเนื้อเรื่องไปเป็นส่วนหนึ่งของการ์ตูนในจักรวาล DC เรื่องอื่นๆ
2. Netflix ดัดแปลง The Sandman ซีซั่นแรกจากการ์ตูนสองเล่มแรก นั่นคือ The Sandman: Preludes & Nocturnes และ The Sandman: The Doll’s House เล่าถึงเรื่องราวของ มอร์เฟียส (Morpheus) ราชาแห่งความฝันที่ถูกลักพาตัวออกจากดินแดนของเขา และถูกจองจำไว้บนโลกมนุษย์กว่า 100 ปี ผู้จองจำยังริบเอาเครื่องมือการครองโลกความฝันไปด้วย มอร์เฟียสจึงต้องดั้นด้นผจญภัยตั้งแต่ส่วนที่มืดมิดที่สุดของมนุษย์ไปจนถึงนรกภูมิ เพื่อนำเครื่องมือกลับคืนมาฟื้นฟูแดนแห่งความฝัน
3. สำหรับแฟนๆ ที่กลัวว่าซีรีส์นี้จะไม่ตรงกันกับภาพที่ผู้เขียนการ์ตูนวางเอาไว้ ก็หายห่วงได้เลย งานนี้ นีล ไกแมน มีส่วนลงแรงอย่างหนักในหลายขั้นตอนการสร้าง ตั้งแต่การเป็น executive producer และมีส่วนในการดัดแปลงหน้าการ์ตูนมาสู่จอทีวี ทั้งการแคสติ้งนักแสดงซึ่งเขากล่าวว่าในขั้นตอนการแคสต์นั้น เขาน่าจะได้เห็นคนทดลองแสดงเป็นมอร์เฟียสมาราวๆ 15,000 คนได้
“มันรู้สึกแปลกมาก ผมเริ่มเขียน The Sandman ในปี ค.ศ.1987 การได้เห็นสิ่งที่ใช้เวลากว่า 36 ปี ตั้งแต่การคิดคอนเซ็ปต์ การเขียน จนมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันช่างเหลือเชื่อ และที่เหลือเชื่อที่สุดคือมันเหมือนกับภาพในหัวของผมอย่างเหลือเชื่อ จากการได้ฟังบทพูดและคำบรรยายที่ผมเขียนไว้กว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา” นีลพูดในบทสัมภาษณ์กับ Vanity Fair
4. พูดถึงการปรับแปลงแล้ว ในแบบเดียวกันกับที่เวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูนเขียนโดยมีเรื่องราวและประเด็นสังคมที่เกิดขึ้นในยุค 80-90s อบอวลอยู่รอบๆ The Sandman เวอร์ชั่นซีรีส์นี้มีการปรับเนื้อเรื่องจากที่เกิดขึ้นในช่วงช่วงเดียวกับที่เขียนเป็นหนังสือการ์ตูน ให้เป็นยุคสมัยและประเด็นสังคมในยุคปัจจุบันแทน
5. นอกจากการดัดแปลงจากหนังสือแล้ว นีลให้สัมภาษณ์กับ Collider ว่านี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสิ่งที่เขาเคยเขียนให้กลายเป็นคนแสดง แต่เป็นการเขียนมันขึ้นมาใหม่ด้วยมุมมองว่า ถ้าเขียนเรื่องนี้ในปัจจุบันจะเขียนยังไง?
นีลเล่าว่า ถ้าเริ่มเขียนตอนนี้เขาอาจตัดสินใจอะไรแตกต่างไป ตัวละครบางตัวอาจไม่ใช่เพศที่เขาเคยเขียน และเวอร์ชั่น Netflix คือพื้นที่ที่จะเปิดโอกาสให้เขาสามารถทำเช่นนั้นได้ โดยตัวละครที่นีลอยากเลือกเปลี่ยนจริงๆ ก็เช่น ลูเชียน (Lucienne) บรรณารักษ์แห่งโลกความฝัน ที่ครั้งนี้มาในเวอร์ชั่นหญิงผิวดำ แทนที่จะเป็นชายผิวขาว
6. นอกจากเรื่องราวของมอร์เฟียสแล้ว สิ่งที่ไกแมนชอบทำคือการดำเนินเรื่องผ่านเรื่องเล่าพื้นบ้าน ประวัติศาสตร์ ตำนาน ปกรณัมจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลกแล้วผูกมันเข้าด้วยกัน เช่น คาอินและอาเบล (Kain and Abel) พี่น้องที่คอยดูแลโลกความฝัน, การปรับบริบทใหม่ให้กับเรื่องเล่าพันหนึ่งราตรี, การเล่าถึงชะตากรรมของเทพเจ้าผู้ไม่เหลือคนบูชาในโลกปัจจุบัน, หรือการใช้ ลูซิเฟอร์ (Lucifer Morningstar) เป็นหนึ่งในศัตรูของเขาที่จะมีบทบาทในเรื่องราวถัดๆ ไป
“มันเล่าเรื่องของผู้คนและสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากมอร์เฟียส ในขณะที่เขาซ่อมแซมจักรวาล มนุษย์ และความผิดพลาดที่เขาก่อในการคงอยู่อย่างยาวนานของเขา” ไกแมนเขียนในบล็อกของเขาบนเว็บไซต์ Netflix ฉะนั้นนี่จะไม่ใช่เพียงเรื่องราวของมอร์เฟียสเพียงผู้เดียว แต่เป็นเรื่องราวที่จะเล่าถึงอิทธิพลของเรื่องเล่าและความฝันต่อมนุษย์และทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา
7. นอกจากมอร์เฟียสแล้ว The Sandman จะเล่าถึงครอบครัวของเขาด้วย โดยพวกเขามีชื่อเรียกว่า The Endless หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล DC ทั้ง 7 ผู้เป็นภาพแทนของแง่มุมต่างๆ ในชีวิตมนุษย์และทุกสิ่งมีชีวิต
โดย Endless ทั้ง 7 ประกอบด้วย มอร์เฟียส หรือ ความฝัน (Dream) โชคชะตา (Destiny) ความคุ้มคลั่ง (Delirium) ความวินาศ (Destruction) และอีก 3 รายที่จะออกมาให้เราเห็นในซีซั่นนี้คือ ความปรารถนา (Desire) ฝาแฝดของเขา ความสิ้นหวัง (Despair) และ ความตาย (Death) ผู้ที่ทุกคนในจักรวาล DC ต้องพบเจอก่อนจะดับสูญ
ความทรงพลังของเหล่า Endless นั้นไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขามีระดับพลังมากกว่าใครในจักรวาล แต่มาจากสิ่งที่พวกเขาเป็นตัวแทน เพราะในจักรวาลนี้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใด ตั้งแต่เล็กที่สุดอย่างแมลง แมว แม้แต่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่เช่นพระเจ้า หรือมากไปกว่านั้น—หรือก็คือตัวมนุษย์ที่กำลังอ่านหรือดู The Sandman—ก็ย่อมฝัน ย่อมมีความปรารถนา ย่อมดับสูญ และถูกกำหนดเส้นทางเดินชีวิตไว้อยู่ในหนังสือของโชคชะตาทั้งสิ้น
8. แต่ก่อนที่จะเป็นการ์ตูนโดย นีล ไกแมน The Sandman เคยเป็นชื่อของการ์ตูนเรื่องอื่นในจักรวาล DC ยุค Golden Age (ค.ศ.1983-1955) มาก่อน โดยเป็นเรื่องของ เวสลี ดอดส์ (Wesley Dodds) ชายผู้ถูกหลอกหลอนโดยฝันเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริง เขาใช้ฝันเหล่านั้นสืบหาผู้ก่อเหตุแล้วกลายเป็น Sandman นักปราบอาชญากรใช้ปืนยิงทรายที่ทำให้คู่ต่อสู้หลับใหล กิมมิกที่มาจากตัวละครนิทานพื้นบ้านยุโรปที่มีชื่อเดียวกัน
9. และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องราวในจักรวาลของ The Sandman จะถูกนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง เพราะก่อนหน้านี้นักล่าปิศาจ คอนสแตนไทน์ (Constantine) หนึ่งในตัวละครหลักในซีซั่นนี้ของ The Sandman ก็เคยมีหนังของตัวเองในปี ค.ศ.2005 และเป็นซีรีส์ในปี ค.ศ.2014 มาแล้ว รวมถึงซีรีส์ Lucifer (ค.ศ.2016) เองก็ดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่องแยกของลูซิเฟอร์ ตัวละครที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก The Sandman เล่มแรก
แต่ The Sandman เวอร์ชั่นนี้จะแยกจักรวาลกับทั้งสองเรื่องที่กล่าวมาโดยสิ้นเชิง พร้อมกับแคสต์ตัวละครเหล่านั้นใหม่ โดยลูซิเฟอร์จะรับบทโดย เกวนโดลีน คริสตี (Gwendoline Christie) และไกแมนตั้งใจควบรวมตัวละครคอนสแตนไทน์จาก 2 คนชายและหกญิงในเวอร์ชั่นการ์ตูน เหลือเพียงคนเดียวเป็นหญิงชื่อ โจแฮนนา คอนสแตนไทน์ (Johanna Constantine) แสดงโดย เจนนา โคลแมน (Jenna Coleman)
10. เวอร์ชั่นคนแสดงของ The Sandman นั้นประสบปัญหาการสร้างมาอย่างยาวนาน ก่อนจะเป็นซีรีส์ในปัจจุบัน มีการวางแผนการสร้าง The Sandman เป็นหนังมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 90s แต่ต่างจากซีรีส์ปัจจุบันที่ไกแมนไม่มีส่วนในการเขียนและดัดแปลงบทของซีรีส์เลย และเขาเรียกบทที่ได้อ่านจากเรื่องนั้นว่า “นอกจากจะเป็นบท The Sandman ที่แย่ที่สุดที่ผมเคยอ่านแล้วมันก็ยังเป็นบทหนังที่แย่ที่สุดที่ผมเคยอ่านด้วย”
อ้างอิงข้อมูลจาก