พูดถึงประเทศญี่ปุ่น ความใหญ่โตและสวยงามภูเขาไฟฟูจิคงเป็นภาพใครหลายคนหลายคนนึกได้เป็นอย่างแรก เช่นเดียวกับ ต่อ—สาครินทร์ สวัสดินาค ช่างภาพผู้หลงรักในภูเขาไฟฟูจิ และเขาเลือกแสดงออกถึงความหลงใหลผ่านความตั้งใจที่จะถ่ายภูเขาไฟฟูจินี้ทุกวัน โดยไม่ซ้ำกัน เป็นเวลา 1 ปี หรือ 365 วัน นั่นเท่ากับว่า ต้องมีภาพภูเขาไฟฟูจิทั้งหมด 365 รูป
The MATTER จึงชวน ต่อ—สาครินทร์ สวัสดินาค มาคุยถึงโปรเจกต์นี้ว่า ทำไมถึงต้องเป็นภูเขาไฟฟูจิ สถานที่นี้มีแรงดึงดูดและมีความพิเศษยังไง และการถ่ายรูปครั้งนี้ได้ให้อะไรกับเขาบ้างในท้ายที่สุด
The MATTER : เริ่มถ่ายภูเขาไฟฟูจิมานานแค่ไหนแล้ว
สาครินทร์ : ผมเริ่มที่จะถ่ายรูปบ่อยขึ้นก็ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นคือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว เหตุที่ถ่ายรูปมากขึ้นก็คงเพราะตอนนั้นการถ่ายรูปเป็นเรื่องสะดวกขึ้น 14-15 ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นเริ่มนิยมมือถือที่ถ่ายรูปได้ ผมก็ใช้กล้องมือถือนี่แหละถ่ายภาพ เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมากตอนย้ายมาญี่ปุ่นแรกๆ และอีกเหตุผลนึงที่เริ่มถ่ายภาพมากขึ้นก็เพราะอยากมีภาพถ่ายที่เอากลับไปให้ญาติที่เมืองไทยได้ดู ถ่ายอยู่แบบนั้นจนเริ่มมี social network เลยเริ่มเอาภาพมาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก แล้วก็เริ่มหาซื้อกล้องสำหรับถ่ายภาพโดยตรง เริ่มหาครูสอนถ่ายภาพ ไปเรียนคอร์สถ่ายภาพส่วนตัวสั้นๆ กับช่างภาพสองท่าน พอได้เรียนถ่ายรูปก็เริ่มมีทฤษฎี มีหลักเกี่ยวการถ่ายภาพเอามาใช้ถ่ายรูป ค่อยๆ พัฒนาการถ่ายรูปให้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ และตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเอง ต่อไป
ส่วนถ้าถามว่า ถ่ายฟูจิมานานแค่ไหน ผมได้ภูเขาไฟฟูจิภาพแรกตอนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นในฐานะนักท่องเที่ยวทั่วไปเมื่อนานมาแล้ว ผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นได้พาผมไปดูฟูจิจากมุมริมทาง ข้างทางมีทุ่งดอกไม้พอให้เป็นฉากหน้าอยู่หน่อย และนั่นก็เป็นภาพแรกที่ผมได้กดชัตเตอร์ด้วยต้วเอง ผมยังเก็บภาพนั้นไว้อยู่จนถึงทุกวันนี้ และยังพยายามตามหาจุดที่ถ่ายภาพนั้นมาตลอด ซึ่งคนที่พาผมไปตรงนั้นท่านได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว เลยถามไม่ได้ ใจจริงผมอยากถ่ายภาพจากจุดถ่ายตรงนั้นแล้วนำภาพมาพิมพ์ลงในหนังสือเล่มนี้ที่สุดครับ
The MATTER : ทำไมถึงเริ่มถ่ายภูเขาไฟฟูจิ
สาครินทร์ : ต้องเล่าก่อนว่า ผมเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ เป็นชาวต่างชาติคนนึงที่ได้ลงทุนทำธุรกิจสร้างเนื้อสร้างตัวในญี่ปุ่น เริ่มจากเงินลงทุนก้อนแรกเมื่อ 11 ปีที่แล้ว นับเป็นเงินก้อนใหญ่ในช่วงชีวิตตอนนั้น ผมจึงตั้งธงว่าล้มไม่ได้เด็ดขาด ทุ่มเททั้งใจทั้งกายให้ธุรกิจของผมก้าวไปได้ สร้างตัวเองให้ได้ ช่วงแรกๆ ที่เริ่มก้าวโดยมีธงที่ตัวเองกำหนดไว้ พอมีรายได้มาก ความเครียดก็มากขึ้นตาม การบริหารงาน ความรับผิดชอบอะไรต่างๆ ผมรับไว้คนเดียวทั้งหมด นอกจากกิจการน้อยๆ ของผมจะไปได้ สุขภาพจิตสุขภาพกายผมก็ต้องไปได้เช่นกัน แรกๆ เวลาเครียดกับงานผมก็จะไปดื่มไปเที่ยวกลางคืน ไปนั่งคุยนั่งดื่มกับคนนั้นคนนี้ ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยผมเท่าไหร่
จนมาวันนึง มีคนแนะนำผมในเรื่องความเชื่อ ซึ่งผมก็จะเป็นคนที่มีอุปนิสัยไม่สนใจเรื่องเหนือธรรมชาติเท่าไหร่ เขาแนะนำศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง และยังบอกอีกว่าขลังและเป็นที่นิยมในนักธุรกิจญี่ปุ่น แต่อยู่มาวันนึงผมเครียดเรื่องงานจนนอนไม่หลับ เลยขับรถออกจากที่พักตอนกลางคืนไปที่ศาลเจ้านั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ตีนเขาฟูจิ ศาลเจ้านี้เต็มไปด้วยชายสูงวัยบุคลิกเหมือนนักธุรกิจแต่งตัวดูภูมิฐาน แต่หน้าตาเหมือนอมทุกข์
ปี 2011 ตอนนั้นผมอายุ 40 เป็นปีที่ผมตั้งใจ จะใช้ชีวิตที่สงบ มีความสุขตามอัตภาพ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมมักจะหาซื้อของขวัญมูลค่าสูงราคาแพงให้กับตัวเองเป็นประจำในวันเกิด แต่ปีนั้นเป็นครั้งแรกที่ต่างออกไป เหมือนบุพเพฯ ก็ไม่เชิง บ่ายวันเกิด ผมเดินเข้าร้านหนังสือมือสองในญี่ปุ่น เดินวนไปวนมา ดูหนังสือ หลายเล่ม จนมาสะดุดที่หนังสือเก่าเล่มเล็กเล่มนึง ชื่อว่า Fuji 360 องศา ผมหยิบหนังสือเล่มนั้นเปิดดูไปดูมาแล้วเดินไปจ่ายเงินแบบมึนๆ พอเดินออกจากร้าน ก็พูดกับตัวเองว่า ของขวัญวันเกิดนะ Happy Birthday!
ตลอดปี 2011 ผมเปิดดูหนังสือเล่มนั้นไปมานับครั้งไม่ถ้วน แม้จะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ก็ดูบ่อยจนเข้าใจว่าหนังสือเก่าๆ เล่มนั้นต้องการจะสื่ออะไร เป็นหนังสือที่รวมภาพถ่ายและพิกัดจุดถ่ายภาพ รวมความงามของฟูจิในทุกๆ อารมณ์ ทุกๆ ฤดูจากช่างภาพสายตรงฟูจิชื่อดังหลายท่าน ของขวัญชิ้นนี้ สร้างความท้าทายให้ผมสุดๆ ท้าทายตรงที่ว่า ถ้ามีใครสักคนทำหนังสือแบบนี้ด้วยตัวเองคนเดียวจะเป็นไปได้รึเปล่า แล้วยิ่งไม่ใช่คนญี่ปุ่นจะเป็นไปได้แค่ไหน
พอมาถึงปี 2012 ความท้าทายก็เกิดเป็นรูปเป็นร่าง ในปีนั้นผมเลือกให้ของขวัญวันเกิดตัวเองเป็นสิ่งที่สบายใจและผ่อนคลาย คือตั้งใจจะไปหาฟูจิซัง 2-3 วัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมมักจะขับรถไป-กลับโตเกียวเลย แต่ครั้งนี้ผมจะไปนอนฉลองวันเกิดใกล้ฟูจิ จะไปถ่ายรูปฟูจิแบบเป็นการเป็นงาน ครั้งนั้นนับเป็นการไปฟูจิทริปแรกของผม หลังจากที่ดูหนังสือ Fuji 360 องศา มาเป็นปี ผมก็ได้ข้อมูลสถานที่ที่ผมควรจะไป ซึ่งหนีไม่พ้น Kawaguchiko สถานที่ยอดนิยม รวมไปถึง Fuji Five Lake ทะเลสาบชื่อดังที่อยู่รอบๆ ฟูจิ ซึ่งตอนนั้นได้เพื่อนร่วมทริปเป็นน้องคนไทย ชื่อ ตั๋ง ที่แม้จะอายุห่างกันพอควรแต่เรามีอะไรที่ชอบคล้ายๆ กันอยู่ โดยเฉพาะการถ่ายรูป ผมชักชวนตั๋งไปร่วมทริปถ่ายภาพฟูจิทริปแรก หลังจากนั้นก็เริ่มรู้สึกติดใจครับ ว่างเมื่อไหร่ อากาศเป็นใจ ผมก็จะกลับไปอีกทันที ประจวบกับที่ช่วงต้นปลายปี 2011 ที่ผมได้รู้จักกับตั๋ง ก็พลอยทำให้ผมได้รู้จักกับงาน photostock หรือการถ่ายภาพไปขายออนไลน์ เริ่มแรกพอร์ตของผมก็ไม่มีแนวทางอะไร ยอดขายก็เงียบเหงามาก จนมาได้ภาพฟูจิภาพหนึ่งจากทริปฟูจิทริปแรกทริป ของขวัญวันเกิดปี 2012 นี่แหละครับ เกิดเป็นภาพขายดีขายได้ตั้งแต่นั้นมา และนี่ก็คืออีกเหตุผลที่ทำให้ผมยังถ่ายภาพฟูจิซังมาจนถึงทุกวันนี้
The MATTER : ภูเขาไฟฟูจิมีความพิเศษยังไงบ้าง และทำไมต้องถ่ายทุกวัน
สาครินทร์ : ความพิเศษของฟูจิในความรู้สึกของคนญี่ปุ่นเอง ผมว่าก็คงเป็นไปตามเหตุผลที่ทาง Unesco ยกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒธรรม ความเชื่อ ความเคารพ สักการะ เสมือนเทพเจ้า ส่วนผมขอกล่าวถึงความพิเศษในด้านการถ่ายภาพ ด้วยความโดดเด่นทางภูมิศาสตร์ของฟูจิ ที่เป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่โดดเดียว เด่น มีความสมมาตรสง่างาม รวมทั้งภูมิอากาศของประเทศญี่ปุ่นที่มีสี่ฤดู บรรยากาศในแต่ละฤดูทำให้การถ่ายภาพฟูจิมีองค์ประกอบสวยๆ ที่หลากหลาย และด้วยความสูงที่โดดเด่น ความสมมาตรทำให้เราสามารถมองเห็นได้ทั้งในระยะใกล้ๆ และระยะไกล 100-300 กิโลเมตรก็มองเห็น
The MATTER : ถ้าไม่ได้ถ่ายภาพฟูจิ คิดไว้ไหมว่าอยากถ่ายภาพอะไร
สาครินทร์ : ผมสนใจในการถ่ายสิ่งที่ผูกพันธ์กับชาวญี่ปุ่น เช่น ถ้าเป็นเมืองไทยผมอาจจะเลือกถ่ายนาข้าว ในหลากหลายโลเคชั่นให้ออกมาสวยๆ สัก 1000 ที่ ถ้าเป็นในญี่ปุ่นที่สนใจการถ่ายภาพรถไฟ ผมรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นมีความผูกพันกับรถไฟมาก ใช้เพียงเป็นพาหนะ อนาคตอาจจะมี photobook ที่มีชื่อว่า 1000 ขบวน บนเกาะญี่ปุ่น แต่ก็ยากที่จะเลิกถ่ายภาพฟูจิ เหตุผลก็ตามชื่อหนังสือแหละครับ Most Beloved : Mount Fuji
The MATTER : มีอุปสรรคในการถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิบ้างไหม
สาครินทร์ : ภาษานี่แหละเป็นอุปสรรคในการถ่ายภาพฟูจิของผม ภาษาญี่ปุ่นของผมไม่ได้เรื่อง นี่อยู่มา 14-15 ปีแล้ว เพราะไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ผมก็เป็นชาวต่างชาติคนนึง การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เลยใช้เวลานาน ใช้ขั้นตอนมากกว่าของคนญี่ปุ่นหลายเท่า จะไปถ่ายฟูจิแต่ละที่ แต่ละแห่ง ใช้พลังใจ พลังงานเยอะมาก รวมไปถึงการเข้าถึงกลุ่มช่างภาพฟูจิ เผื่อจะได้ความช่วยเหลือ แต่จะรับคำแนะนำอะไรต่างก็เป็นไปได้ยากเพราะเรื่องภาษาที่เป็นอุปสรรค
The MATTER : จุดไหนถ่ายยากที่สุด หรือจุดไหนต้องเดินทางไกลและมีค่าใช้จ่ายมากที่สุด
สาครินทร์ : ผมว่า ไม่มียากสุด แต่ไม่ง่ายสักที่ เพราะมันมีการถ่ายฟูจิในหลากหลายแบบหลากหลายองค์ประกอบ เช่น อยากถ่ายภาพฟูจิกับองค์ประกอบที่เป็นเฆม หมอก ฟ้า สีแสงเทพๆ ก็ต้องอยู่ในท้องที่ที่ไม่ไกลจากฟูจิ ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับผม เพราะผมอยู่ไกลจากฟูจิพอควร ยิ่งการถ่ายฟูจิจากในระยะไกล อากาศต้องดีสุดๆ ซึ่งหลายมุมหลายที่ ปีปีนึงจะมีแค่ไม่กี่วัน
ถ้าเป็นจุดที่เดินทางไกลสุด คงเป็นทริปที่ผมขับรถไกล 700-800 กม. จากที่พักของผม ในย่านโตเกียวฝั่งจังหวัดชิบะ ไปยังเมือง Ise จังหวัด Mie เมื่อต้นปี 2017 ซึ่งช่วงนั้นผมมุ่งมั่นตระเวนเก็บภาพฟูจิจากระยะไกลหลายที่ ตอนนั้นไกลสุดที่ถ่ายได้ก็ 185 กม. แต่ก็อยากถ่ายให้ได้ไกลกว่านั้น เลยไปที่ Ise Shima Skyline เมือง Ise เป็นจุดพักรถจุดชมวิวที่สวยงาม มีวิวมองเห็นความงามของ Ise Bay และมากไปกว่านั้น ก็สามารถมองเห็นฟูจิซังที่อยู่ข้ามน้ำข้ามทะเลห่างออกไปไกลถึง 208 กม. แสงเช้าของ Ise Bay กับฟูจิซัง เป็นภาพเป้าหมายในใจที่ให้ผมเดินทางไป แต่ปรากฎว่าทริปนั้น อากาศที่ว่าดูดีแล้วก่อนเดินทางไปมันปิดสนิทเห็นแต่เพียงวิวอ่าว Ise แต่ไม่เห็นฟูจิ จึงเป็นทริปที่ไกลและมีค่าใช้จ่ายมากสุดเพราะกลับมามือเปล่าครับ
The MATTER : ได้เรียนรู้อะไรบ้างหลังจากทำโปรเจกต์ภูเขาไฟฟูจิจบไป
สาครินทร์ : หลายอย่างมาก ที่มากสุดก็เป็นการได้เดินทางไปหลากหลายที่ ได้รู้จักและสัมผัสบรรยากาศที่หลากหลายในหลายๆ เมือง รวมทั้งได้มีแนวทางในการถ่ายภาพที่ชัดเจนซึ่งนำไปสู่การพัฒนาการถ่ายภาพที่ดีขึ้น
ท้ายสุดฝากหนังสือ Most Beloved : Mount Fuji เล่มนี้ด้วยครับ หลายท่านที่ได้สั่งจองไปแล้วคงได้สัมผัส ความงามของเทพเจ้าในความหมายของชาวญี่ปุ่นในหลากหลายมุมมอง ในหลากหลายบรรยากาศจากฝีมือจากความตั้งอกตั้งใจของผม
(สามารถสั่งจอง photobook ได้ที่ pixniq.com)