โบราณท่านว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ถ้าสุภาษิตนี้เป็นจริง คนไทยคงได้พร้าเล่มสวยๆ กันเยอะแยะทั่วบ้านทั่วเมืองไปหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้มีหลายสิ่งที่พวกเราต้องรอคอยกันมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่เรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน จนถึงนโยบายยิ่งใหญ่ระดับประเทศ
ถึงแม้นักร้องดูโอ้ชื่อดังนิวจิ๋วจะถามว่า “ให้ฉันรอแล้วได้อะไร” แต่นักปรัชญาอย่าง Bertrand Russell ก็เคยอธิบายว่า จักรวาลใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ที่คู่ควรกับการรอคอย ที่จะช่วยให้สติปัญญาของเราเฉียบคมมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น การรอคอยของคนไทยจึงย่อมมีความหมายที่สำคัญซ่อนอยู่
วันนี้ The MATTER จึงขอรวบรวม 5 สิ่งมหัศจรรย์ที่คนไทยต้องรอ เพื่อตอบคำถามว่า เรารอไปแล้วจะได้อะไร และเวลาที่ถูกขโมยไปนั้น มันคุ้มค่ากันไหมที่จะต้องเป็น ‘ไทยอดทน’
รอตั๋วร่วมรถไฟฟ้าที่ยังไม่มาหาซักที
ถ้าญี่ปุ่นมีบัตร Suica และ Passmo ฮ่องกงมี Octopus ส่วนลอนดอนมี Oyster ในอนาคตไทยก็คงจะมี ‘บัตรแมงมุม’ ที่จะช่วยเชื่อมโยงการจ่ายค่าโดยสารร่วมกันของรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน รถเมล์ ตลอดจนแอร์พอร์ตลิงก์
ความฝันที่จะมีตั๋วร่วมของคนไทยนั้นมีมานานมากแล้ว ที่ผ่านมาก็มีข่าวให้หัวใจเราพองโตกันเสมอว่าเจ้าบัตรที่ว่านี้ ‘กำลังจะมา’ อยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ต้องเลื่อนออกไปทุกที ล่าสุดรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ได้ให้คำสัญญาว่า กำลังเร่งดำเนินการให้ตั๋วร่วมนี้เกิดขึ้นได้จริง โดยคาดว่า คนไทยจะได้ใช้กันเต็มรูปแบบประมาณกลางปี 2561 หรือตีเป็นตัวเลขกลมๆ ก็คือต้องรอกันอีกกว่า 1 ปีนั่นเอง
ระหว่างที่ต้องรอกันก็ไปแอ่วเมืองเหนือกันไปพลางๆ ก่อนได้ เพราะถ้าคำนวนแล้ว การรออีก 365 วัน หรือ 8,766 ชั่วโมงสำหรับการรอตั๋วร่วมให้เกิดขึ้นจริงนั้น คนไทยสามารถนำเวลานี้ไปนั่งรถไฟขบวนด่วนพิเศษจากกรุงเทพ-เชียงใหม่ (เที่ยวละ 13 ชั่วโมง) ได้มากถึง 674 เที่ยวเลยทีเดียว
รอวันที่แท็กซี่ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร
เรื่องคลาสสิคแห่งยุคสมัย เมื่อพี่คนขับแท็กซี่มาพร้อมกับท่าไม้ตาย “แก๊สหมด” หรือไม่ก็ “ไปส่งรถ” ทำให้คนไทยต้องรอแล้วรออีก รอกันว่าเมื่อไหร่ปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขกันซักที อย่างไรก็ตาม กรมขนส่งก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะได้ขอให้ทีดีอาร์ไอทำวิจัยในเรื่องต้นทุนของแท็กซี่แล้ว โดยคาดว่าจะใช้เวลา 3 เดือนจึงจะจัดทำแล้วเสร็จ
ระหว่างที่ต้องรอคอยกันไปอีก 3 เดือน หรือคิดเป็นเวลากว่า 131,490 นาที ถือเป็นโมเมนต์ดีๆ ที่ทำทุกคนสามารถเอาเวลาไปดูซีรีส์เกาหลีสุดเข้มข้นอย่าง Stranger ทั้งซีซั่น (1,117 นาที) ได้ถึง 117 รอบเลยนะ ดีไม่ดี อาจได้คำพูดเท่ๆ คมๆ จากอัยการฮวางไปเป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้กับระบบขนส่งมวลชนอันโหดร้ายของบ้านเราก็ได้อีกต่างหาก
รอ 5 ชั่วโมงผ่านด่าน ตม. ดอนเมือง
ใครว่าประเทศไทยเข้าง่ายออกง่าย พักหลังมานี้เรื่องราวการรอผ่านด่าน ตม. ที่สนามบินดอนเมืองได้กลายเป็นประเด็นพูดถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุด อาจารย์ท่านหนึ่งถึงกับต้องออกมาโพสต์วิจารณ์ (ด้วยความหัวร้อน) ถึงประสบการณ์รอผ่านด่าน ตม. เข้าเมืองนานกว่า 5 ชั่วโมง!
พร้อมกันนี้ยังเปรีบเทียบด้วยว่า เวลาที่ต้องสูญเสียไปนั้นสามารถเอาไปทำอะไรได้หลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นนั่งรถไฟจากปารีสไปนีซ หรือ กระทั่งดูโอเปร่าขนาดยาวได้ 1 เรื่องเต็มแบบมีเวลาเหลือ
ถึงแม้ ผอ.ท่าอากาศยานดอนเมืองชี้แจงว่า ปัญหาการรอคอยนี้เป็นเรื่องอยากให้ทุกคนเข้าใจจริงๆ เพราะปัจจุบันสนามบินมีพื้นที่จำกัดและจำนวนของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองก็สามารถรองรับการบริการได้ประมาณ 1,000 คนต่อชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งคงคาดเดาได้ว่า ปัญหานี้คงต้องรอการแก้ไขกันอีกสักพักใหญ่ ดังนั้น หากใครที่รู้ตัวว่าวันไหนเที่ยวบินลงมาพร้อมกันเยอะๆ อาจจะต้องหาโหลดโอเปร่าเก็บไว้ในมือถือเพื่อนั่งดูฆ่าเวลากันไปก่อนเนอะ
รอวันเลือกตั้งอีก 1 ปีตามคำสัญญา
นับตั้งแต่ คสช. เข้ามาบริหารประเทศเพื่อสร้างสังคมอันสงบสุข ตามแนวทางประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนนั้น นายกฯ ลุงตู่ ของเราก็ให้คำสัญญามาเสมอๆ ว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะกลับมาอีกแน่นอน ไม่มีหรอกการเลื่อน Road Map อะไรตามที่หลายฝ่ายเป็นกังวลกัน จะสงสัยอะไรเยอะแยะ (ปั๊ดโธ่!) ขณะเดียวกัน กกต. ก็วางกรอบเวลาเอาไว้ว่า ถ้าไม่มีอะไรขัดข้องการเลือกตั้งครั้งใหม่จะเกิดขึ้นได้ในวันที่ 19 สิงหาคมปี 2561
ถ้าเริ่มนับจากวันนี้ (9 สิงหาคม 2560) ก็จะเหลือเวลาที่พวกเราต้องรอคอยกันอีกราวๆ 9,000 ชั่วโมง หรือ นับเป็น 540,000 นาที ช่วงเวลาที่เหลือมหาศาลอย่างนี้ สามารถรับฟังบทเพลง ‘คืนความสุขให้ประชาชน’ ของ คสช. ได้ถึง 133,333 รอบด้วยกัน
หรือถ้าเป็นสายรักสุขภาพ สามารถนำช่วงเวลานี้ไปออกกำลังกาย T25 ได้มากถึง 21,600 ครั้ง ยังไม่พอ ยังสามารถเอาไปเข้าคอร์สโยคะ 200 ชั่วโมงได้ตั้ง 45 รอบ ก็ไม่แน่นะ ถ้าทำกันตามนี้จริงๆ เราอาจจะมีร่างกายที่แข็งแรงก่อนที่บ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยก็ได้
รอวันนั้นที่เธอจะกลับมา
คนจะไปยังไงเขาก็ต้องไป ส่วนคนที่ยังอยู่ก็คงได้แต่รอคอยให้เขาหรือเธอเหล่านั้นเดินกลับมาหาในซักวันหนึ่ง ว่ากันว่า เวลาของคนเราไม่เท่ากัน ยิ่งสำหรับคนที่ต้องเป็นฝ่ายรอด้วยแล้ว เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งเชื่องช้าเป็นที่สุด
สอดคล้องกับคำกล่าวของพี่อ้อยพี่ฉอดที่ว่า “การรอคอยอะไรบางอย่าง มักทำให้เวลาเดินช้าลง” เพราะฉะนั้น การรอคอยในรูปแบบนี้จึงยากที่จะประเมินเป็นเวลาแบบวิทยาศาสตร์ได้
สิ่งที่พอจะกำหนดได้คงจะมีแต่ความรู้สึกของตัวเราเองเนอะ (ปาดน้ำตาและถอนหายใจ)