บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนของภาพยนตร์ (แม้จะไม่มาก แต่ก็ใส่กันไว้ก่อน)
1.
Arrival ดัดแปลงจากเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ชื่อ Story of Your Life ของ Ted Chiang โดยไม่ได้เปลี่ยนเค้าโครงหลักไปแต่อย่างใด กำกับโดย Denis Villeneuve (Sicario, Prisoner)
โดยสังเขปมันเป็นหนังวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ – ตามชื่อเรื่องนั่นแหละครับ – “ผู้มาเยือน” ซึ่งในความหมายแรกเริ่ม มันหมายถึงผู้มาเยือนจากต่างดาว หากจะเรียกว่ามันเป็นหนังเอเลี่ยนบุกโลกก็คงไม่ผิดนัก แต่แทนที่ตัวเอกของหนังจะเป็นทหารที่สู้รบปรบมือกับเอเลี่ยนเหมือนกับหนังเอเลี่ยนบุกโลกเรื่องอื่นๆ ตัวเอกของ Arrival กลับเป็นนักภาษาศาสตร์ที่พยายามเข้าใจภาษาของผู้มาเยือนเหล่านี้ โดยหวังว่าเมื่อเข้าใจภาษาของพวกเขาแล้ว ก็จะเข้าใจจุดประสงค์ในการมาเยือนของพวกเขาด้วย
2.
ดร. หลุยส์ แบงค์ เป็นนักภาษาศาสตร์ผู้นั้น เธอเป็นนักภาษาศาสตร์ระดับโลก ที่เคยช่วยงานกองทัพแปลภาษาฟาร์ซีในครั้งหนึ่ง, และเมื่อผู้มาเยือนลงจอดยานที่มอนทานา สื่อสารกับพวกเขาด้วยภาษาที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจ, จึงเป็นอีกครั้งที่เขาใช้บริการของเธอ หนังเปิดด้วยภาพมอนทาจที่ทำให้นึกถึง Up และบางช่วงของภาพยนตร์ที่ฉายเร็วๆ นี้ คือ La La Land “ฉันเคยคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของเรา” เสียงของเธอบรรยาย เราในฐานะผู้ชม เป็นประจักษ์พยานภาพชีวิตของเธอกับเด็กสาวตัวเล็กๆ ฉายสลับอย่างรวดเร็ว ภาพกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอเล่นกับเด็กสาว เด็กสาวเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย เตียงพยาบาล ความว่างเปล่า และหนังก็เริ่มต้นขึ้น
3.
ภาษาเป็นแกนกลางหลักสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันคือสิ่งที่ยึดโยงเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ เราอาจคิดถึงภาษาในฐานะเครื่องมือสำหรับการสื่อสารเท่านั้น เราอาจคิดว่าภาษาคือวิธีที่เราสื่อความคิด แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้มองหน้าที่ (และผลกระทบ) ของภาษาในทางกลับด้วยว่าในขณะที่เราใช้ความคิดเพื่อกรอบภาษาแล้ว ภาษาก็กำลังกรอบความคิดของเราไปพร้อมกัน จะเป็นอย่างไรหากเรารู้ภาษาอื่นที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างไปโดยสิ้นเชิง บางภาษาอาจมีแนวคิดเรื่องสูง ต่ำ ที่ทำให้เรามองคนเป็นชนชั้นบนและชนชั้นล่าง บางภาษาอาจมีแนวคิดเรื่องสีที่แตกต่างจากภาษาอื่นๆ บางภาษามีคำเรียกบางสิ่งบางอย่างอย่างละเอียดซับซ้อนในขณะที่ไม่มีคำเรียกสิ่งที่เหลือเลย และบางภาษาก็อาจไม่ได้มองสิ่งที่เราคิดว่าเป็นสากลนั้นตามแบบฉบับสากลที่เรายึดมั่นถือมั่น
4.
“ถ้าคุณรู้ว่าชีวิตคุณจะจบลงอย่างไร คุณจะเปลี่ยนแปลงอะไรไหม” ดร. หลุยส์ แบงค์ ถามขึ้นมา
การเล่นกับเรื่องราวของภาษาใน Arrival นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดอื่น ทั้งเรื่องมิติ เรื่องเจตจำนงอิสระ และการที่ทุกสิ่งบนโลกกำหนดมาแล้ว (หรือไม่?) คำตอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน มันเป็นคำตอบที่แสนตรงไปตรงมา คล้ายกับเวลาที่คุณอาบน้ำฝักบัว แล้วเห็นแสงวาบเข้ามาในหัว มันไม่เสนออะไรที่ยุ่งยากให้กับคนดู ไม่ทำให้คุณรู้สึกว่าฉลาดที่รู้ทัน แต่ Arrival ก็เป็นปริศนาเล็กๆ ที่สวยงามในทุกระยะ ทั้งใกล้และไกล ถึงแม้หนังจะเสียความเร็วไปบ้างในช่วงกลาง และลงเอยด้วยทางออกที่อาจดูง่ายเกินไปหน่อยในความคิดของผู้ชมในช่วงท้าย แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเอมี่ อดัมส์ (ที่ฉวยหนังทั้งเรื่องไปเป็นของตัวเองอย่างไม่ไว้หน้าเจเรมี่ เรนเนอร์) ที่โอบกอดความว้าวุ่นไม่แน่ใจในตัวเองได้อย่างมีเสน่ห์ Arrival ก็ทิ้งอะไรไว้ในใจเราได้อย่างสง่างาม
ปล. พยายามเขียนให้ไม่สปอยล์ เลยเขียนได้สั้นๆ เพียงเท่านี้ แต่ที่บอกได้ก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่น่าจะทำให้คุณเสียดายค่าตั๋วแน่นอน