คนส่วนใหญ่ไม่ชอบสภาวะอกหัก จึงน่าแปลกที่คนเหล่านั้นหลงรักบทเพลงที่มีเนื้อหาว่าด้วยการบอกหรือถูกบอกเลิก
เหตุผลที่เราชื่นชอบท่วงทำนองเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะเราอยากถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากแต่เป็นเพราะเรารู้สึกว่าเนื้อร้องที่ศิลปินถ่ายทอดช่างสอดคล้องและกลมกลืนไปกับสิ่งที่อยู่ภายใน ราวกับว่าผู้แต่งเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่เราพบเจอ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีคนร้องไห้เป็นเพื่อนทั้งที่เรากับนักร้องไม่เคยรู้จักกันเลยด้วยซ้ำ
ไม่นานมานี้ อะตอม—ชนกันต์ รัตนอุดม เพิ่งจะมีผลงานใหม่อย่าง เก่งจัง เพลงอกหักรักเจ็บว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นได้เพียงที่ปรึกษาผู้ไม่อาจพัฒนาความใกล้ชิดให้พ้นจากคำว่าเพื่อน ในขณะที่อีกฝ่ายเห็นเราเป็นเพื่อน 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้น…
เก่งจังเป็นอีกเพลงที่ตอกย้ำกับคนฟังถึงความ ‘เก่งจัง’ ของศิลปินที่หลายคนยกให้เป็นเจ้าพ่อเพลงอกหัก เพราะตั้งแต่เริ่มต้นในเส้นทางสายดนตรี ผลงานของอะตอมส่วนมากก็เน้นไปที่แนวโศกเศร้าเดียวดาย ไม่ว่าจะเป็น Please แผลเป็น อ้าว พอ รถคันเก่า Good Morning Teacher ฯลฯ จนเราได้แต่สงสัยว่า ความสัมพันธ์ที่นักร้อง นักแต่งเพลงคนนี้เคยพบเจอนั้นเจ็บปวดและมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ในวันฟ้าครึ้ม ฝนตั้งเค้าจะเทลงมา เราตรงไปถึงหน้าสตูดิโออัดเสียงเพื่อพูดคุยกับอะตอม ชนกันต์
ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่า หัวใจของอะตอมน่าจะต้องผ่านแรงสั่นสะเทือนและเผชิญรักร้ายๆ มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งนั่นก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความรักอีกครึ่งในชีวิตของหนุ่มคนนี้ก็มีเรื่องราวดีๆ ที่หล่อหลอมให้เขาเป็นเขาอย่างที่เราเห็นกันผ่านเสียงเพลง
ต่อจากนี้คือเรื่องราวความสัมพันธ์ที่มีทั้งยิ้มได้และร้องไห้ เคยลอยล่องราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์และเคยร้อนรนราวกับตกนรกโลกันต์ชั้นล่างสุด ซึ่งจะดีแค่ไหน จะร้ายอย่างไร โปรดติดตามได้ในความรักทั้ง 5 ครั้งของชายที่อยู่หลังกีตาร์คู่ใจกันได้เลย
01 Family Love
อะตอมเกิดมาในบ้านที่อบอุ่น จึงเชื่อว่าน่าจะเรียนรู้นิยามความรักจากครอบครัวมาค่อนข้างเยอะ ความรักของครอบครัวนี้ช่วยขัดเกลาอะตอมยังไงบ้าง?
เราว่าสิ่งที่เด็กทุกคนต้องการน่าจะเป็นความรู้สึกตอนที่หันหลังไปแล้วเจอว่ามีใครสักคนคอยสนับสนุนเราอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เวลารู้สึกอ่อนแอ ไม่มั่นใจ หรือเจอความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิต การหันไปแล้วเห็นกำลังใจจากพ่อแม่คือสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ให้กับเรา ซึ่งการที่พ่อแม่รักเราก็ช่วยให้เรารักตัวเองด้วย เพราะเราจะรู้ว่า อ๋อ เราเกิดมาจากความรักของพ่อแม่นะ โลกนี้ยังมีคนที่รักเราอยู่นะ เพราะฉะนั้น เราก็จะไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดอันตราย ก็เป็นอะไรที่เราดีใจที่เกิดขึ้น (ยิ้ม)
ทำไมการที่พ่อแม่รักอะตอม ถึงทำให้อะตอมรู้จักรักตัวเอง?
เราว่าการที่คนเราจะรักตัวเองได้ก็คงมาจากการสั่งสอนของใครสักคน ซึ่งคนที่ทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้คือพ่อกับแม่ เขาทำให้เรารู้สึกมั่นใจ ทำให้เราเห็นว่า ไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็กลับไปหาเขาได้ คุยได้ ขอความช่วยเหลือได้เสมอ เวลามีเรื่องสำคัญในชีวิต จะต้องสอบ ประกวด หรือมีปัญหาที่โรงเรียน สุดท้ายเรามั่นใจได้ตลอดว่า ถ้าโทรไปหรือกลับไป จะมีเขาอยู่ตรงนั้น
นอกจากพ่อแม่ พี่น้องมีส่วนสำคัญต่อความรักในครอบครัวด้วยรึเปล่า?
เรามีพี่สาว แต่ตอนเด็ก เราสองคนทะเลาะกันบ่อยมาก (หัวเราะ) ก็คือรักกันแหละ แต่เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงจะไม่ค่อยถูกกัน ก็ตามประสา ซึ่งพ่อแม่ก็จะคอยสอนให้รักกันตลอดเวลา คอยบอกว่า ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ พวกมึงก็มีกันแค่ 2 คนนะ เพราะงั้นก็ดูแลกันให้ดี
พอโตขึ้นมาหน่อย เราก็ได้รู้ว่าจริงๆ พี่สาวเป็นคนที่สนับสนุนเราเยอะมาก คือทะเลาะกันเองในบ้านไม่เป็นไร แต่ถ้าเราไปทะเลาะกับคนอื่นเมื่อไหร่ เขาไม่เคยทิ้งเราเลย แต่เราก็ไม่ได้ทะเลาะตบตีเยอะนะ (หัวเราะ) หรืออย่างตอนเรามีโชว์เป็นของตัวเองครั้งแรก ใหม่มาก ตื่นเต้น พี่สาวก็ช่วยโดยการไปลากเพื่อนมาเต็มไปหมด พ่อแม่ก็ลากเพื่อนตัวเองมานั่งดู กลายเป็นว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของร้านคือพวกเราหมดเลย มีลูกค้าจริงๆ แค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นความรู้สึกที่ดีมาก
ในวัยเด็ก หลายคนก็มองข้ามความรักจากคนในครอบครัว ชอบสนุกกับเพื่อนๆ มากกว่า อะตอมไม่เป็นแบบนั้นเหรอ?
ใช่ๆ เป็นเหมือนกัน กว่าจะรู้ก็โตประมาณหนึ่งแล้ว น่าจะ 20 กว่าๆ เลยมั้งถึงจะเริ่มรู้ว่ามันดีที่มีพ่อแม่รอเราอยู่ คือแต่ก่อน ช่วงที่อายุ 12-13 เป็นต้นมา เราก็เริ่มไม่ฟังแล้ว ห้ามอะไรก็ไม่สน อยากไปลองเอง เจอด้วยตัวเอง
เราคงเริ่มรู้ตัวตอนไปอยู่ธรรมศาสตร์ เราเรียนรังสิตใช่มั้ย ก็ไกลบ้านมาก แต่แรกๆ แฮปปี้เลย ไม่มีใครมายุ่งกับชีวิต มีอิสระ ได้โลดแล่น กลับบ้านกี่โมงก็ได้ ปาร์ตี้ได้ถึงเช้า แต่สุดท้ายพอเรียนจบ เราถึงรู้ว่าสิ่งที่ขาดหายไปตลอด 4 ปีก็คือการได้อยู่กับพ่อแม่ การได้เจอเขา ได้พูดคุยกับเขาเหมือนตอนเราเด็กๆ เป็นความอบอุ่นที่เพิ่มพลังให้เราได้มากที่สุด เราว่าก็คงด้วยช่วงอายุเนอะ กว่าจะรู้ตัวก็สักพัก ต้องไปโลดแล่นมาอย่างเต็มที่ก่อน ซึ่งตอนนั้นพ่อแม่ก็น่าจะปวดหัวมากเหมือนกัน (หัวเราะ)
02 Teenage Love
ในช่วงวัยรุ่น อะตอมได้ลองสำรวจหัวใจของตัวเองเยอะมาก จริงๆ แล้วอะตอมมองหาอะไรจากความสัมพันธ์ในวัยนั้น?
คงจะเป็นความสนุกและตื่นเต้นมั้ง ก็คล้ายๆ คนทั่วไปแหละ เราว่าทุกอย่างที่เป็นครั้งแรกก็มักจะตื่นเต้น น่าค้นหา รู้สึกท้าทาย เป็นความแปลกใหม่ในชีวิต (นิ่งไป) แต่จริงๆ เราก็จำได้ว่า ตั้งแต่มีแฟนคนแรก ถึงจะเป็นความรักในแบบป๊อปปี้เลิฟ เราก็ค่อนข้างจริงจังเหมือนกัน ด้วยความที่แม่เราสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้หญิงนะ อย่าคบซ้อนนะ สรุปโดนเองเลย เรียบร้อย แม่สอนมาดีเกิน (หัวเราะ)
แสดงว่าถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้แม่สอนดีขนาดนั้น?
ไม่หรอก มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะสอนลูกนะ แต่ครั้งหนึ่ง แม่ก็เคยพูดเหมือนกันว่า “ไม่รู้กูสอนมึงผิดรึเปล่า เห็นกลับมานั่งร้องไห้ตลอดเลย” (หัวเราะ)
อะตอมเล่าเรื่องแฟนให้ที่บ้านฟังตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?
ส่วนมากจะคุยกับแม่ ก็คุยบ้าง ไม่คุยบ้าง แต่พอถึงจุดที่เริ่มไม่ไหว เราก็คุย เรารู้สึกปลอดภัยที่จะบอกเขา และเขาก็ไม่ได้ตัดสินเรา ไม่เคยออกคำสั่ง แค่แนะนำไปตามที่เห็น หลายครั้งเขาก็เตือนตั้งแต่แรกนั่นแหละ แต่เราก็เด็ก ก็ไม่ค่อยฟังเท่าไหร่ บอกแม่ว่าไม่เลิกกันหรอก แต่สักพักก็เลิก เพราะถ้ามองตามความเป็นจริง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะไปกันรอดตั้งแต่ ม.ต้น จนถึงวัยทำงาน ที่มีน่าจะเป็นส่วนน้อยมากๆ
อุปสรรคของรักวัยรุ่นสำหรับอะตอมคืออะไร?
เราว่าไม่มีอุปสรรคหรอก มันมีแค่ความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าโลกของเด็กเป็นแบบไหน คือต่างฝ่ายต่างคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีความไม่ยอมปล่อยกันและกัน ใช้อารมณ์เยอะกว่าเหตุผล เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้สึกไปหมด หึงหวงรุนแรง ไม่ได้นะ ห้ามไปทำแบบนั้นกับคนอื่นนะ ก็เป็นความงี่เง่าที่เกิดจากความไม่เข้าใจ ถ้าให้มองย้อนกลับไป เราว่ามันไม่มีอุปสรรคอะไรเลย ใช่ มันเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ว่าความสัมพันธ์หนุ่มสาวมีแง่มุมไหนบ้าง
เหมือนว่าอุปสรรคของรักวัยรุ่นคือวุฒิภาวะรึเปล่า?
ใช่ เราว่าเป็นอย่างนั้น เพราะตอนแยกกัน มันก็มีหลายครั้งที่เราสงสัยว่าเขาไปคุยกับคนอื่นรึเปล่า บางครั้งก็จริง บางครั้งก็ไม่จริง แต่สุดท้ายมันก็เป็นการเจ็บปวดเพื่อเรียนรู้ ทุกวันนี้หนังเราก็หนาขึ้นเยอะ จริงๆ เราว่ามันดีนะ ถ้าไม่มีรักวัยรุ่น เราก็คงไม่ได้เขียนเพลงแบบที่เขียน ความคิดและตรรกะของเราก็คงต่างออกไป คงเป็นคนที่พูดจาอีกแบบ คิดอีกแบบ
03 Love of Music
โลกนี้มีงานอดิเรกมากมาย ทำไมอะตอมถึงเลือกทุ่มความรักให้กับเสียงดนตรี?
เราเจอจังหวะของตัวเองในสิ่งนี้ ทำมันได้เรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ อยากจะกลับไปหามันตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าเราไม่ลองอย่างอื่นนะ เราก็ลองเล่นกีฬา เรียนเทควันโด ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ หรือศิลปะประเภทอื่นก็เคยลอง แต่สุดท้าย สิ่งที่เราพาตัวเองกลับไปหาเสมอคือดนตรี
ด.ช.ชนกันต์รู้ตัวว่ารักสิ่งนี้ตั้งแต่ตอนไหน?
เรารู้ตัวค่อนข้างเร็วเหมือนกัน ประมาณ ป.4 ป.5 ก็เริ่มรู้แล้ว ชอบ อยากเล่น ขอให้เขาพาไปเรียนกีตาร์ เราเคยเห็นพ่อเล่นบ้างนะ แต่ก็ยังไม่รู้สึกอยาก คนที่ทำให้อยากเล่นจริงๆ เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งที่เอากีตาร์มาโรงเรียนแล้วดีดเพลงพูดไม่ค่อยเก่ง ของ AB Normal ซึ่งเล่นมั่วด้วย ทั้งเพลงเพื่อนเล่นแค่คอร์ดเดียว แล้วร้องจนจบ คือฝืนมาก (หัวเราะ) แต่ในความรู้สึกเราคือ โหย เท่ว่ะ! นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เราอยากเล่นดนตรี ส่วนการร้องเพลงก็ร้องเล่นๆ มาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ก็ค่อยๆ พัฒนาควบคู่กันมา
รักวัยรุ่นน่าจะมีผลกับการแต่งเพลงของคุณเยอะมาก จริงๆ แล้วมันเป็นแรงบันดาลใจในแง่ไหน?
มันก็มีทั้งสองด้าน ด้านที่ดีก็เป็นรักที่สวยงามและบริสุทธิ์มากสำหรับเรา ตอนวัยรุ่น อารมณ์ของทุกคนก็เปราะบางกันหมด ซึ่งช่วงเวลาที่ดีก็ยังอยู่ให้เราจดจำถึงทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรมาแทนครั้งแรกในชีวิตของเราได้ ครั้งแรกของทุกเรื่องแหละ มันไม่มีใครลืมจริงๆ หรอก เราแค่ไม่นึกถึงเท่านั้นเอง สุดท้ายมันก็ยังอยู่ แล้วพอนึกย้อนกลับไป เราก็ดีใจที่ได้มีความทรงจำเหล่านั้น
แต่อีกด้าน เวลาที่เจ็บปวดก็ทรมานมากๆ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย รักมาก เจ็บมาก เออ มันก็เป็นสองด้านของความสัมพันธ์ อยากได้อย่างหนึ่งก็ต้องเอาอีกอย่างหนึ่งไปด้วย
ทำไมอะตอมถึงรักมากเจ็บมาก ในขณะที่หลายคนอาจจะใช้เวลาไม่กี่วันก็มูฟออนได้แล้ว?
เราว่ามันเป็นธรรมชาติของคน ความละเอียดอ่อนและความตื้นลึกทางอารมณ์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนรักได้ลึกกว่า บางคนรู้สึกผูกพันมากกว่า ส่วนบางคนก็มีน้อย ซึ่งน่าอิจฉามาก (หัวเราะ) ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย ชิลๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนแก่ ซึ่งเราตอนวัยรุ่นและอาจจะตอนนี้ด้วยจะค่อนไปทางรู้สึกมาก ก็เลยส่งผลออกมาในเนื้อเพลงและโน้ตดนตรีที่เจ็บปวดเสียดแทง เป็นอารมณ์เศร้าๆ หน่อย
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า “การทำเพลงต้องมีความเป็นตัวเองครึ่งหนึ่ง แคร์คนฟังครึ่งหนึ่ง” ช่วยขยายความประโยคนี้ให้ฟังหน่อย?
เพลงประกอบด้วยสองอย่างใช่มั้ย ถ้าทำเพลงโดยไม่ต้องการขาย ก็ไม่ต้องสนอะไรแล้ว ตามใจตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ไปเลย ใครจะชอบไม่ชอบก็ไม่ต้องแคร์ขนาดนั้น ซึ่งมันก็แทบจะเป็นงานอดิเรกแล้วแหละ แต่อย่างเรา เราทำสิ่งนี้เป็นอาชีพ ถ้าทำออกมาแล้วไม่มีคนอยากฟังมัน มันก็ไปต่อไม่ได้ เราก็ต้องหาจุดสมดุลระหว่างตัวตนและเนื้อหาที่แข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ
ศิลปินหลายคนที่ยืนระยะได้นานก็เพราะเขาไม่เคยเปลี่ยนและเขาไม่ยอมเปลี่ยน อาจจะเปลี่ยนกรอบนอกบ้าง แต่แกนเขายังเหมือนเดิม นี่คือ 50 เปอร์เซ็นต์ที่เราต้องคงไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เราก็ต้องปรับไปตามกระแสต่างๆ เพื่อพาเพลงไปหาคนฟัง มันคือการช่างน้ำหนักที่ดี ซึ่งก็แล้วแต่คนด้วย บางคนก็แฮปปี้กับการเป็นตัวเองเยอะหน่อย บางคนก็เน้นปรับเปลี่ยนตามสังคม แต่เราอยากให้พอๆ กัน เป็นตัวเองด้วย ทำเป็นอาชีพได้ด้วย ที่สำคัญต้องไม่ทิ้งคนฟัง เราไม่ได้เล่นดนตรีคนเดียวในป่า (หัวเราะ) ยังมีแฟนเพลงรอเราอยู่ และหนึ่งในเป้าหมายที่ทำให้เราอยากทำงานตรงนี้ก็คือการได้สื่อสารกับคน เพราะฉะนั้น ถ้าหยุดสื่อสารเมื่อไหร่ก็จบ
04 Self-love
คุณเคยเป็นคนที่ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ปาร์ตี้หนัก จุดไหนที่เตือนว่าถึงเวลาต้องกลับมาดูแลตัวเอง?
เวลาปาร์ตี้ เราก็สุดทางไง (ยิ้ม) เป็นสายสุดทางมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะการที่เราเคยอยู่กับแก๊งพี่ๆ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ กับ พี่บอล—กันต์ รุจิณรงค์ อพาร์ตเมนต์คุณป้า แต่พอถึงจุดหนึ่งก็มีเรื่องสุขภาพ และจริงๆ อะไรพวกนี้ก็ส่งผลกระทบต่อความคิดเหมือนกัน เรื่องสมอง การพักผ่อน พอกระทบการทำงาน เราก็เริ่มเอ๊ะ แล้วหันกลับมาดูแลตัวเอง ขั้นแรกก็ต้องเบาลงก่อน ลดการสังสรรค์ จากนั้นก็ขยับมาออกกำลังกายเป็นประจำ ใส่ใจเรื่องอาหารมากขึ้น ก็ตามอายุด้วย เด็กๆ เราไม่แคร์หรอก เมาทีก็ฟื้นเร็ว เดี๋ยวนี้นอนเป็นวันเลย แง่หนึ่งมันก็เสียเวลาชีวิตเยอะมาก
ทุกวันนี้เราพูดได้มั้ยว่าอะตอม ชนกันต์เป็นศิลปินที่รักตัวเองแล้ว?
(นิ่งไป) พูดได้ว่ารักกว่าแต่ก่อนแล้วกัน (ยิ้ม) ก็ยังมีวันที่เราสุดเหวี่ยงอยู่ นานๆ ครั้ง แต่อย่างน้อย เรารู้แล้วว่าต้องรักษาร่างกายไว้ เพราะถ้าไม่มีร่างกายที่ดี เราก็จะทำอย่างอื่นลำบาก แต่ถ้าเรามีพื้นฐานที่ดี สุขภาพกาย สุขภาพจิตโอเค มันก็ช่วยให้เราไปต่อได้ดีกว่าคนที่ไม่ดูแลตัวเอง
การไปปาร์ตี้บ้างถือเป็นส่วนหนึ่งของการรักตัวเองมั้ย เช่น ช่วยคลายเครียด?
โห่ ไม่อะ ทำลายล้างมาก (หัวเราะ) แต่ก็แล้วแต่คนนะ สำหรับเราข้อดีของการสังสรรค์ไม่ได้อยู่ที่การดื่ม แต่อยู่ที่การพูดคุยมากกว่า ได้มีบทสนทนากับคนที่อยากอยู่ด้วย มีประสบการณ์ร่วมกัน ถ้าไม่มีคนที่ถูกต้องก็ไม่คุ้มที่จะไป จริงๆ เราเลิกเที่ยวผับบาร์มา 5-6 ปีแล้ว เพราะเราทำงานในที่พวกนี้ตลอด ก็เริ่มเบื่อ ถ้าไม่ใช่กลุ่มเพื่อนที่อยากเจอมากๆ เราจะไม่ไปเลย ส่วนใหญ่คืออยู่บ้านหรือไปร้านของเพื่อนมากกว่า
05 True Love
อะตอมเคยให้สัมภาษณ์ว่าการแต่งงานไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หลังจากแฟนคนปัจจุบันบอกว่ามันสำคัญนะ ความคิดของอะตอมก็เปลี่ยนไป ทำไมเป็นแบบนั้น?
ก็อยู่ที่ว่าเราอยากจะอยู่กับคนนี้รึเปล่าล่ะ มันก็ต้องคุยกัน เพราะว่าการใช้ชีวิตร่วมกับเขา ไม่ว่าจะในฐานะสามีภรรยาหรือจะเป็นแฟนกันไปตลอดชีวิต สุดท้ายเราก็อยากให้เขาเป็นเพื่อนคู่คิดที่เผชิญเส้นทางข้างหน้าไปพร้อมกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาเห็นว่าสำคัญ มันก็สำคัญกับเรา เราก็เลยเปิดใจ
แต่จริงๆ เราก็ไม่เคยบอกว่าไม่เอานะ ไม่ชอบ ทำไม่ได้ เราอยู่ตรงกลาง ค่อนไปทางไม่เห็นว่าการแต่งงานคือสิ่งจำเป็น แต่พอลองนึกดีๆ เขาก็ไม่ได้มาตัวคนเดียว เขามีพ่อแม่ที่เลี้ยงเขามา มีครอบครัวที่ดูแล สิ่งที่เขาเห็นว่าสำคัญ เราก็ต้องรับมันมาด้วย ซึ่งสุดท้ายก็โอเค ไม่มีปัญหา แต่เราก็บอกเขาก่อนนะว่า เราเริ่มมาจากความคิดที่ไม่อยากจัดนะ ถ้าจะให้มันเกิดขึ้นก็ขอเป็นงานที่ส่วนตัวนิดหนึ่ง สบายๆ มีแต่คนที่สนิทจริงๆ ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่ต้องถึงขนาดมีโคมระย้า ให้เป็นโมเมนต์ที่เราได้จดจำร่วมกับคนที่เรารักจริงๆ ในคืนนั้น
ก็คือหาตรงกลาง?
ใช่ๆ ซึ่งก็โอเคนะเท่าที่คุย แรกๆ ก็ตีกันนิดหน่อย แต่หลังๆ ก็โอเค (หัวเราะ)
ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้รักครั้งนี้ดีกว่าครั้งก่อนหน้ายังไงบ้าง?
มั่นคงขึ้นเยอะครับ ด้วยอายุส่วนหนึ่งนะ แต่จากประสบการณ์ เราก็เจอโหดๆ มาเยอะ เจอดีๆ ก็มี มันถึงจุดที่เรารู้แล้วว่าชีวิตต้องการอะไร ตอนเป็นวัยรุ่นก็อาจจะค้นหาความตื่นเต้น เร้าใจ เซ็กซี่ สไตล์นักล่าก็มองแบบหนึ่ง บางทีโดนล่าบ้างสลับกันไป (หัวเราะ) แต่พอโตขึ้น ทุกวันนี้เราต้องการเพื่อนที่อยู่ด้วยกันไป เราว่าชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวจนตาย มันได้นะ แต่ก็เหงาไปหน่อย และอย่างที่บอก เราโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น เราได้เห็นแล้วว่า การมีคู่ชีวิตที่อยู่ดูแลกันจนถึงตอนนี้มันดียังไง เป็นความอบอุ่นที่ต่อให้ไม่มีลูกก็เติมให้กับตัวเราได้ค่อนข้างเยอะ
คุณใช้วิธีที่ต่างออกไปกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ไหม?
เราเริ่มความสัมพันธ์ครั้งนี้ตอนอายุ 25-26 ยังไม่โตขนาดนั้นนะ แต่ที่คิดคือเราตื่นเต้นมาพอแล้ว (ยิ้ม) คนนี้ขอคนที่เข้าใจก็แล้วกัน ให้เราได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ เริ่มมาเราก็แบเลย บอกว่านี่นะ เลวอย่างนี้นะ ทำแบบนี้มาก่อนนะ ผ่านอะไรมาแล้วบ้าง คือเล่าให้เขาฟังเหมือนที่คุยกับเพื่อนผู้ชายเลย ไม่มีปิดบัง หลายคนเห็นเราคุยเรื่องพวกนี้กับแฟนแบบตรงไปตรงมาก็เหวอ ถามว่า “เรื่องนี้พูดได้เหรอ” ซึ่งเราว่ามันดีที่พูดได้ เราไม่อยากซ่อนแล้ว ไม่ต้องแอ็คอาร์ตแล้ว ก็เลยเป็นความรักที่เข้าใจและสนับสนุนกันมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่ 2 เพลงล่าสุด ทั้ง Medium Rare และเก่งจัง ก็ยังเป็นเพลงอกหักอยู่ ในวันที่ความรักราบรื่นขนาดนี้ อะตอมนำแง่มุมไหนมาแต่งเพลง?
มันก็อาจจะต้องอาศัยการนึกย้อนด้วยนะ แต่ถ้าต้องให้อกหักเดี๋ยวนี้เพื่อเขียนเพลงที่ออกมาจากประสบการณ์จริง เราว่าก็คงไม่ต้องถึงขึ้นนั้นมั้ง (หัวเราะ) เพื่อนก็ชอบบอกว่า มึงทะเลาะกันดิ จะได้ได้อีกสักอัลบั้ม แต่เราว่ามันไม่จำเป็นหรอก ก็ให้มันเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ตามสิ่งที่เราเป็น
ยังไงเราก็ไม่เลิกเขียนเพลงเศร้าหรอก เพราะเราชอบ สุดท้ายมันสามารถดึงวัตถุดิบ อาจจะเป็นหนึ่งห้องในใจที่เราปิดเอาไว้ ถึงวันหนึ่ง เราอาจจะรู้สึกหรือได้เจออะไรที่ทำให้อยากกลับไปเปิดห้องนั้นอีกครั้งเพื่อเล่าอะไรบางอย่าง มันก็ทำได้เสมอ สรุปคือต่อให้ความรักแฮปปี้ เพลงแฮปปี้ก็ไม่ค่อยมีอยู่ดี เราชอบเล่าเรื่องเศร้ามากกว่า (ยิ้ม)
จากเพลงที่แต่ง คุณดูจะไม่เชื่อในเรื่องรักแท้?
เคยเชื่อ จริงๆ ก็ยังเชื่ออยู่บ้าง (นิ่งไป) รักแท้เหรอวะ อืม…
คือเราคิดว่าไอ้ความสัมพันธ์ที่คนกำลังเจ็บปวดเพราะต้องเสียมันไป ต้องเลิกกันไป สุดท้ายอาจจะต้องรออีกสักหน่อย แล้วเราก็จะรู้ว่า อ๋อ ที่เราพลาดตรงโน้นตรงนี้ก็เพื่อจะได้พบเจอสิ่งนี้ เพื่อที่จะมาเจอคนคนนี้ และเพื่อที่เราจะมีโอกาสทำแบบนี้ ถ้าเรายังอยู่ตรงนั้นต่อ มันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น เราว่าชีวิตไม่มีเสียหรือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเปลี่ยนผ่านเพื่อไปเจออะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าเป็นรักแท้ เป็นพรหมลิขิตก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง
ในโลกมีทั้งคนที่เชื่อไปเลยว่าสิ่งนี้ถูกกำหนดมาแล้ว กับคนที่คิดว่าไม่ ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบังเอิญทั้งหมด แต่เรากลางๆ นะ อะไรจะเกิดก็เกิด เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง มันอาจจะมีวันที่ต้องจบไปก็ได้ ใครจะรู้ เราไม่ได้พูดเพื่อให้ซวยไว้ก่อนนะ แค่อยากสื่อว่าทุกอย่างมีโอกาสทั้งนั้น เราก็เคยเห็นว่าคนที่รักกันมานาน บางครั้งก็ตัดสินใจที่จะแยกทาง ก็ปล่อยให้มันเป็นไปครับ เราว่าไม่มีอะไรต้องฝืน แต่ทุกวันนี้ก็ไปกันได้ด้วยดีและสนับสนุนกันดี
จนถึงวันนี้ ความรักให้อะไรและเอาอะไรไปจากอะตอมบ้าง?
เราว่าความรักเป็นพลังนะ ตั้งแต่ความรักของพ่อแม่ รักในสิ่งที่เราทำ รักจากแฟน หรือแฟนเพลงเองก็ตาม ผู้ฟังทุกคนก็เป็นไฟให้เราเคลื่อนต่อไปข้างหน้า ทั้งในเรื่องชีวิตและอาชีพ
แต่ถ้าถามว่าความรักเอาอะไรไป อืม…ตอบยังไงดีวะเนี่ย (หัวเราะ) ก็คงเอาความโดดเดี่ยวไปมั้งครับ คือเราเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตคนเดียวค่อนข้างเยอะ เราเคยชอบอยู่คนเดียว ออกไปกินเหล้าคนเดียว ดูหนังคนเดียว ไปคนเดียวบ่อยมาก ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากที่เราเศร้าหนักๆ มา เป็นหลายปีที่เราใช้ชีวิตโดดเดี่ยว โผล่ไปปาร์ตี้นู้นปาร์ตี้นี้คนเดียว ออกไปข้างนอกโดยพกไปแค่สมุดกับหูฟัง นั่งเขียนเพลง ถ้าเจอเพื่อนก็เจอ ไม่เจอก็ไม่เจอ เป็นความโดดเดี่ยวที่ความรักทำให้หายไป เราไม่ต้องเดินคนเดียวแล้ว มีคนซัปพอร์ต มีทีมที่อยู่เคียงข้าง
ไหนๆ ก็เพิ่งปล่อยเพลงที่ชื่อ เก่งจัง จึงอยากถามว่า ถ้าต้องชมตัวเองสักหนึ่งเรื่องด้วยคำคำนี้ เรื่องนั้นคือ…
คงชมว่าก็เอาตัวรอดมาได้เนอะ ทั้งที่ก็ไม่ได้เรียนดนตรี เออ ดื้อด้านมากๆ จนได้ทำ แล้วก็อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ประหลาดใจเหมือนกัน แต่เราก็ตั้งใจและไม่เคยยอมแพ้ เพราะงั้นถึงจะงงๆ หน่อย แต่ก็ต้องให้เครดิตตัวเองด้วยที่มาจนถึงตรงนี้ได้ เออ เก่งจัง (หัวเราะ)