ความรักไม่เลือกเวลาเกิด แต่มันก็ไม่เลือกเวลาจบเหมือนกัน
ตอนรักกันก็ตกลงกัน 2 คน ต่างฝ่ายต่างยินยอมพร้อมใจว่าเราเป็นแฟนด้วยกัน แต่พอถึงคราวต้องเลิกรา ดันมาตัดสินใจเอง เออเองคนเดียว ไม่เห็นมาถามความสมัครใจของเราด้วยเลยว่าอยากจะแยกทางด้วยไหม
ถ้าทั้งคู่เห็นตรงกันว่าความรักครั้งนี้ไปต่อไม่ได้ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่เวลามีตั้งมากมาย ดันมาบอกเลิกเอาช่วงใกล้อีเวนต์สำคัญๆ นี่สิ ไม่ว่าจะก่อนสอบ วันเกิด วันครบรอบ วันปีใหม่ คริสต์มาส หรือวาเลนไทน์ นอกจากจะถูกบอกเลิกแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว ยังกลายเป็นแผลใจให้กลับมานึกถึงได้ทุกปี แทนที่จะได้เจ็บแล้วจบรอบเดียว กลายเป็นว่าต้องกลับมาเจ็บซ้ำทุกครั้งเมื่อเทศกาลเหล่านั้นวนมาอีกรอบ
เมื่อการบอกเลิกใกล้วันสำคัญทำให้เราเจ็บปวด แล้วเหตุผลอะไรกันนะที่ทำให้คนเคยรักกันถึงเลือกที่จะบอกเลิกช่วงเวลานี้ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ เราจะมีวิธีไหนเยียวยาใจตัวเองได้บ้าง
คำว่าเลิกกันพูดตอนไหนก็เจ็บ
ยังไม่ต้องไปถึงช่วงเวลา แต่ได้ชื่อว่าการบอกเลิก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หรือฟังเมื่อไหร่ก็เจ็บปวดได้ทั้งนั้น ในวินาทีที่โดนอีกฝ่ายบอกเลิก ความรู้สึกก็ไม่ต่างจากการเห็นโลกทั้งใบกำลังถล่มลงตรงหน้า ทั้งๆ ที่คนรอบตัวก็ยังใช้ชีวิตต่อไปเป็นปกติ เหมือนมีแต่เราที่ต้องเจอกับความสูญเสียอยู่คนเดียว
ยิ่งเป็นรวมกับการถูกบอกเลิกโดยไม่ทันตั้งตัว อย่างช่วงใกล้วันสำคัญๆ ด้วยแล้ว ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก เพราะนอกจากจะทิ้งแผลใจไว้ให้นึกถึงทุกๆ ปีแล้ว บางทีช่วงเวลานั้นเราอาจมีเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งอาจเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต อย่างการสอบ หรือระหว่างการทำโปรเจ็กต์สำคัญ แทนที่จะได้โฟกัสกับเรื่องตรงหน้า อาจต้องมาเสียน้ำตากับคนที่เพิ่งมาทิ้งกันไป จนเสียงาน เสียการเรียนไป
แล้วช่วงเวลาสำคัญๆ นี่มันมีอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่นะ ทำไมหลายคนตัดสินใจบอกเลิกช่วงนี้ สตีเฟ่น เบ็ตเชิน (Stephen J. Betchen) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดการแต่งงานและครอบครัว อธิบายว่ามีเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ช่วงเทศกาลวันสำคัญเป็นช่วงที่มีการบอกเลิกมากที่สุด คือ 1) ความหมดความอดทนช่วงนี้พอดี 2) ตั้งใจทำร้ายกันจริงๆ 3) ช่วงเทศกาลเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ 4) พบว่าเข้ากันไม่ได้หลังใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นในช่วงวันหยุดยาว
ลองนึกภาพว่าช่วงเทศกาลมักเป็นช่วงเวลาที่หลายๆ คู่จะได้ใช้เวลาร่วมกันยาวนานมากขึ้น หรือได้ไปเจอครอบครัวของอีกฝ่าย ก็อาจทำให้เจอคำถามกดดันมากมายจากที่บ้าน เช่น จะแต่งกันเมื่อไหร่ หลังแต่งงานแล้วจะเป็นยังไง ช่วงเวลานี้แหละที่ใครคนหนึ่งในความสัมพันธ์ กลับมาทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกครั้ง ‘คนนี้คือคนที่ใช่จริงไหม’ หรือ ‘เราจะอยู่กับคนนี้ตลอดไปจริงเหรอ’ หากมีคำตอบที่แน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ จากการแสดงความรักหรือการหาของขวัญจากที่เคยทำได้ง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องลำบากใจ ทำให้หลายคนเลือกที่จะตัดปัญหา ด้วยการบอกเลิกในช่วงเวลานี้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมาก แต่ทำไมคนเราถึงเลือกบอกเลิกใกล้วันสำคัญกันนะ มอร์แกน โคป (Morgan Cope) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ Centre College ก็ได้อธิบายว่าความจริงแล้วอาจไม่มีช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการบอกเลิก หากไม่ทำเลย แล้วปล่อยเวลาไปเรื่อยๆ ก็ต้องชนกับวันสำคัญอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นวันหยุด วันเกิด วันที่พ่อป่วย วันพรีเซนต์งาน ซึ่งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การเลิกราจึงไม่ใช่การตัดสินใจโดยฉับพลัน หากแต่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายตัดสินใจมาเป็นเวลานาน ซึ่งวันที่บอกเลิกก็อาจเป็นวันที่ประจวบเหมาะพอดี แม้จะเป็นจังหวะที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ตาม
ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าอีกฝ่ายจะบอกเลิกโดยไม่รับผิดชอบความรู้สึกของเรายังไงก็ได้นี่นา เพราะยังมีวิธีบอกเลิกอีกหลายทางที่ไม่ทำให้เราเจ็บปวดเกินไป เช่น เลือกที่จะพูดคุยก่อนถึงวันสำคัญเพื่อหาทางออก หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ การบอกอย่างตรงไปตรงมาและใจเย็น ไม่โทษว่าเป็นความผิดใคร หรือไม่ทิ้งแค่ข้อความแล้วหายไปดื้อๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการบอกเลิกก็เจ็บมากพอแล้ว อย่างน้อยก็ขออย่าทำให้เป็นความจำแย่ๆ เพิ่มมาอีกวันเลย
เยียวยาใจเมื่อถูกบอกเลิกในวันสำคัญ
แต่หากไม่ว่ายังไงความรักครั้งนี้ก็ต้องจบ และเราก็ต้องเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะมีวิธีไหนที่ทำให้เรารับมือกับความเศร้านี้ได้บ้าง จาก mashable สำนักข่าวจากสก็อตแลนด์ ก็ได้รวบรวมวิธีเยียวยาใจหลังถูกบอกเลิกช่วงวันสำคัญจากผู้เชี่ยวชาญ ไว้ดังนี้
- จำกัดเวลาใช้โซเชียลมีเดีย: การเห็นว่าคนอื่นกำลังใช้เวลาอย่างมีความสุขแค่ไหนในช่วงเทศกาลแห่งความสุข หรือได้เห็นว่าคนอื่นๆ กำลังมุ่งมั่นกับการเรียนหรือการทำงานมากเท่าไหร่ ในขณะที่เราจมกองน้ำตาอยู่คนเดียว อาจทำให้เรายิ่งรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวกว่าเดิม ช่วงนี้การปิดโซเชียลมีเดียสักพักก็ถือเป็นวิธีที่ดีกว่าเพื่อให้เราได้ใช้เวลากับตัวเอง
- ให้เวลาตัวเองในการโศกเศร้า: การร้องไห้ในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญ อาจทำให้เรารู้สึกแย่ และต้องปิดบังความเศร้าไว้เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ แต่เอเลน่า ตูโรนี (Elena Touroni) นักจิตวิทยาที่ปรึกษาและผู้ก่อตั้งร่วมของคลินิกจิตวิทยาเชลซี บอกว่า การเลิกราก็ถือเป็นความโศกเศร้าครั้งใหญ่ ดังนั้นอย่ารีบเก็บกดความรู้สึกของตัวเองไว้ แล้วฝืนออกไปจอยกับคนอื่น หรือกดดันให้ตัวเองมูฟออนได้ไวๆ แต่พยายามให้พื้นที่ตัวเองได้เศร้าและจัดการกับความเสียใจสักระยะ หรือมองหาคนที่หวังดีพร้อมจะอยู่กับเราในช่วงที่เราต้องการเขามากที่สุดบ้างก็ได้นะ
- อย่าอ่านข้อความของแฟนเก่า: ต่อให้เขาส่งข้อความมาแฮปปี้นิวเยียร์ แฮปปี้คริสต์มาสก็อย่าเผลอกดเข้าไปอ่านเชียว หรืออย่าพยายามตีความว่าที่เขาส่งมาคิดอะไรอยู่กันแน่ เพราะความอยากรู้อยากเห็นนี้อาจทำให้เราทรมานยิ่งกว่าเดิม ถ้าเขาต้องการอะไรบางอย่างจากเราจริงๆ คงไม่ส่งแค่ข้อความธรรมดาๆ ให้เราต้องคิดมากไปเองคนเดียว แต่คงเป็นข้อความที่ทำให้เราเข้าใจเจตนาได้ทันที แต่ไม่ว่าอย่างไรการไม่อ่าน ไม่ตีความเลยในช่วงนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด
- อย่าลืมดูแลตัวเอง: แม้การดื่มน้ำ รับประทานอาหารให้เพียงพอ นอนหลับให้เต็มอิ่มจะไม่ช่วยให้จิตใจกลับมาร่าเริงเหมือนปกติ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังจำเป็นต่อร่างกายเพื่อให้เรากลับมาแข็งแรงได้ในอนาคต
นอกจากนี้หากเราถูกบอกเลิกในช่วงเวลาสำคัญๆ อย่างการสอบหรือระหว่างโปรเจ็กต์ใหญ่ ถ้าเป็นไปได้อย่าลืมหาทางลดภาระงานที่เราถือไว้ เช่น ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนให้ช่วยสรุปหรือติวก่อนสอบให้ หรือปรึกษากับหัวหน้าเรื่องการขอขยายเวลาส่งงาน เพื่อให้เราสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ โดยไม่ให้ความเจ็บปวดทางใจส่งผลกับด้านอื่นๆ ในชีวิตไปมากกว่าเดิม
แม้การถูกบอกเลิกช่วงใกล้วันสำคัญจะรู้สึกโหดร้าย แต่ก็อย่าปล่อยให้ความเศร้ามาทำให้เราไม่มีความสุขกับช่วงเทศกาลที่เราชอบนะ บางทีอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราก้าวไปต่อไปอย่างเข้มแข็งกว่าเดิมก็ได้
อ้างอิงจาก