รู้สึกกันไหม ว่ารสนิยมการฟังเพลงของเราไม่เหมือนเดิม?
พอได้มาสังเกตตัวเอง ก็พบว่าเพลย์ลิสต์ที่ฟังเป็นประจำมีเพลงใหม่ๆ มาแทนที่เต็มไปหมด เมื่อก่อนเคยชอบฟังเพลงแนวนี้ ก็เริ่มไม่ค่อยได้ฟังเหมือนเก่า เริ่มเปลี่ยนมาฟังอีกแนวหนึ่งมากขึ้น ศิลปินที่เคยชอบฟังก็ฟังน้อยลง หันมาฟังศิลปินอีกคนที่จู่ๆ ก็หันมาแบบไม่รู้ตัว จนเริ่มสงสัยกับตัวเอง นี่รสนิยมการฟังเพลงของเรามันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ความนิยมชมชอบในการฟังเพลงของเราเปลี่ยนไปตามอายุได้จริงหรือ แล้วถ้ารสนิยมของเราเปลี่ยนไปตามช่วงวัยจริงๆ เราจะยังกลับมารู้สึกชอบเพลงที่เราเคยฟัง เมื่อตอนที่เราเป็นเด็กได้เหมือนเดิมไหม หรือสุดท้ายแล้ว เพลงที่เราเคยชอบจะกลายเป็นเพียงความทรงจำในอดีตเท่านั้น

เมื่ออายุเปลี่ยน รสนิยมก็เปลี่ยน
ถ้าให้ทุกคนลองนึกย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผ่านมาจนถึงวัยรุ่น เรื่อยมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ นอกจากร่างกายที่มีความเปลี่ยนแปลงแล้ว ความชอบและรสนิยมบางอย่างอย่างผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วยเช่นเดียวกัน
เชื่อว่าหลายคนคงไม่ทันได้สังเกตกันเท่าไหร่ เพราะรสนิยมการฟังเพลงของเราไม่ได้เปลี่ยนไปแบบหุนหันพลันแล่น แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยที่ตัวเรา แม้จะชอบฟังเพลงเป็นประจำ ก็แทบไม่รู้ตัว
ถึงอย่างนั้น รสนิยมการฟังเพลงของเรามันจะเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละช่วงวัยได้จริงหรือ?
งานศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เกี่ยวกับ ความชื่นชอบและแนวโน้มการฟังเพลงของวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ซึ่งได้มีการสำรวจด้วยการเก็บข้อมูลจากคนกว่า 250,000 คน เป็นเวลา 10 ปี โดยแบ่งประเภทดนตรีออกเป็น 5 ประเภทกว้างๆ ได้แก่ นุ่มนวล เรียบง่าย ซับซ้อน เข้มข้น และร่วมสมัย พบว่า รสนิยมทางดนตรีของเรามีความเปลี่ยนแปลงไปตาม ‘ความท้าทายของชีวิต’ ในแต่ละช่วงวัยจริงๆ
ตัวอย่างเช่น วัยรุ่นจะนิยมฟังเพลงที่มีเนื้อหาและดนตรีที่หนักแน่น เข้มข้น เพื่อสะท้อนถึงตัวตนและความต้องการอิสรภาพ ตลอดจนเป็นช่วงวัยที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองออกจากผู้ใหญ่ ขัดแย้งกับช่วงวัยเด็กที่ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติและการดูแลของผู้ใหญ่นั่นเอง
ในส่วนผู้ใหญ่ ก็จะแบ่งออกเป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยกลางคน เริ่มกันที่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น กลุ่มคนเหล่านี้มักจะฟังเพลงที่ฟังง่ายและร่วมสมัย ไม่ต้องเน้นความหนักแน่นเหมือนแต่ก่อน อาจเน้นไปที่การแสดงความรู้สึกแทน เพราะผู้คนวัยนี้จะแสวงหาการยอมรับมากกว่าการแสดงตัวตน เมื่อมาถึงวัยกลางคน ผู้ใหญ่ช่วงวัยนี้มักฟังเพลงที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ก็อาจมีบ้างที่จะฟังเพลงที่ช่วยยกระดับรสนิยม เนื่องจากต้องการแสดงออกถึงสถานะทางสังคม ร่วมไปกับการแสวงหาความสงบท่ามกลางชีวิตที่แสนวุ่นวาย
อย่างไรก็ดี งานศึกษานี้สำรวจเพียงกลุ่มคนหนึ่งเท่านั้น อาจไม่สามารถครอบคลุมรสนิยมของทุกคนได้ครบถ้วน เพราะในแง่หนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่ารสนิยมในการฟังเพลงเป็นเรื่องปัจเจก หากวันนี้ที่เราเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคน แต่ยังชอบฟังเพลงที่หนักแน่นและสนุกสนานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
รวมถึงแนวเพลงในปัจจุบันก็มีความหลากหลายมากขึ้น แต่ละช่วงวัยอาจไม่ได้ฟังเพลงเฉพาะแนวใดแนวหนึ่งเสมอไป ถึงอย่างนั้น แนวเพลงและแนวดนตรีที่เราฟังก็จะมีเศษเสี้ยวหนึ่งที่สะท้อนถึงตัวตนและความสนใจในช่วงวัยนั้นของเราไม่มากก็น้อยอยู่ดี

แล้วเราจะกลับไปชอบเพลงโปรดในวัยเด็กได้ไหม
หากรสนิยมของเราก็ดันเปลี่ยนไปตามอายุจริงๆ เราจะยังกลับไปชอบฟังเพลงแบบเดิมได้อยู่ไหมนะ?
คำตอบคือ แน่นอน ทุกคนยังสามารถกลับไปชอบเพลงโปรดในวัยเด็กได้ โดยสามารถอธิบายได้ผ่าน Mere-exposure effect ทฤษฎีที่อธิบายถึงปรากฏการณ์ว่าเรามักชอบในสิ่งที่เราเคยพบเจอมาบ่อยๆ จนกลายเป็นความคุ้นชิน และเราก็อาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการชื่นชอบในสิ่งนั้นเลยก็ได้
ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้นในกรณีของรสนิยมการฟังเพลง ก็อาจลองนึกถึงภาพตัวเราในวัยเด็กเวลาเปิดฟังเพลงโปรดวนไปวนมาซ้ำๆ จนกลายเป็นความเคยชิน ตอนนี้พอเรากลับมาได้ยินมันอีกครั้งแบบบังเอิญ ก็อาจจะเผลอยิ้มและเรารู้สึกดีที่ได้ฟังมัน แม้ว่ารสนิยมทางดนตรีของเราจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เพลงที่เคยดังทุ้มอยู่ในใจ วันนี้ก็ยังดังอยู่แบบเดิมได้เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน ไม่จะเป็นหลักเดือนหรือหลักปี เพลงที่เราเคยชอบ ก็จะยังคงเป็นเพลงที่เราชอบต่อไปได้ไม่ผิดเลย แค่เราอาจจะไม่ได้วนกลับไปฟังมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนดังวันวาน

เมื่อรสนิยมเราถึงจุดอิ่มตัว
แม้รสนิยมการฟังเพลงของเราจะแปรผันไปตามอายุ ตามที่งานศึกษาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ทำการสำรวจเอาไว้ ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่ามันจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่ง รสนิยมของเราก็อาจมาถึงจุดอิ่มตัว หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ ‘Taste Freeze’
โดยปรากกฏการณ์ดังกล่าว มาจากผลสำรวจของ Spotify ซึ่งได้เก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานหลากหลายช่วงวัย พบว่า เมื่ออายุเฉลี่ยถึงประมาณ 33 ปี คนเราจะเริ่มไม่ตามเพลงใหม่หรือเพลงฮิตมากเท่าไหร่นัก ทำให้รสนิยมการฟังเพลงของเราจะเริ่มนิ่งและอยู่ตัว
สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนเริ่มไม่ค่อยสนใจเพลงใหม่ๆ ในช่วงวัยนี้ ก็อาจมาจากการเริ่มค้นพบเพลงนอกกระแสหรือเพลงที่อยู่นอกเหนือจากความชอบจากช่วงวัยที่ผ่านๆ มาของเรา หรือหลายคนอาจหันกลับไปฟังเพลงเก่าในยุคที่ตนเองเติบโตมามากขึ้น ความสนใจต่อกระแสดนตรีใหม่ๆ ก็อาจพลอยลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น คำว่า taste freeze เริ่มใช้แพร่หลายอย่างมากขึ้นผ่านบทความเกี่ยวกับรสนิยมทางการฟังเพลง ของ วิลเลียม พาวด์สโตน (William Poundstone) นักเขียน เจ้าของผลงานหนังสือ Fortune’s Formula ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ Psychology Today มีใจความโดยรวมพูดถึง ความสัมพันธ์ระหว่างรสนิยมการฟังเพลงกับอายุ ว่าในช่วงวัยที่เราเติบโตขึ้น เราอาจไม่อินกับเพลงในกระแสใหม่ๆ หากแต่เราเลือกที่จะฟังดนตรีแบบเดิมอย่างที่เราเคยฟังมามากกว่า
ปรากฏการณ์นี้ คงเหมือนเวลาที่เราปรับเปลี่ยนความสนใจทางดนตรีมาเรื่อยๆ ตามช่วงวัย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ซึ่งอาจเปรียบได้กับจุดอิ่มตัวของการลองฟังเพลงใหม่ๆ ตามกระแส เราก็อาจหยุดการเปลี่ยนแปลงนี้ แล้ววนกลับมาสู่ความเคยชินที่เคยมี
ฉะนั้นแล้ว ปรากฏการณ์ taste freeze อาจยิ่งตอกย้ำให้เราได้เห็นว่า รสนิยมถือเป็นเรื่องส่วนตัว วันหนึ่งเราอาจชอบที่จะแสวงหาสิ่งใหม่ แต่เมื่อถึงช่วงวัยหนึ่งเราก็อาจหยุดที่จะมองหาความชอบอื่นๆ และหันกลับมาให้ความสนใจกับอะไรเดิมๆ ก็ได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด ไม่ว่ารสนิยมการฟังเพลงของเราจะเปลี่ยนไปหรือไม่ขอแค่เรามีความสุขจากดนตรีที่เล่น เสียงเพลงที่ร้อง เท่านี้ก็พียงพอแล้วนี่นา
อ้างอิงจาก