หรือเป็นเพราะเราเกิดมาในเดือนประจำคนโสดอยู่ใช่ไหม
หรือเป็นเพราะเลือดกรุ๊ปบีหรือเปล่า…
สำหรับชาวอีสที่ดีใจกับความเป็นชาวเลือดกรุ๊ปบี และเพลงที่เอิ้ก—ชาลิสาปล่อยออกมา ดูเหมือนจะปล่อยเล่นๆ จากตัวแม่สายกิน สุดท้ายกลายเป็นว่าเลือดกรุ๊ปบีกลับพาตัวเองไต่อันดับ กลายเป็นกระแสสำคัญทางดนตรีที่ใครๆ ก็ร้องและเป็นเลือดกรุ๊ปบีกันทั้งนั้น
ส่วนหนึ่งคือแนวทางและคุณภาพดนตรี รวมถึงเอ็มวีที่ปล่อยมานั้นดีเกินคาด คุณภาพเสียง จังหวะและงานภาพนับเป็นอีกเพลงที่ถือว่าอยู่ในระดับมืออาชีพ อันที่จริง นอกจากสไตล์เพลงที่ฟังง่าย มีท่อนฮุกแล้ว ในเนื้อหาเลือดกรุ๊ปบี คล้ายกับสิ่งที่เอิ้กทำในคลิปยูทูบ คือการพูดเรื่องธรรมดาที่คนฟังเชื่อมโยงกับประสบการณ์นั้นๆ แค่ว่าในเนื้อเพลงเลือดกรุ๊ปบีเล่าถึงปัญหาที่จริงจังกว่าในคลิปยูทูบ ตัวเพลงให้ภาพประสบการณ์จากความสัมพันธ์ที่เรา คือคนโสดทุกคนสัมผัสได้ไม่ต่างกัน เป็นคำถามที่อยู่ในใจของเหล่าคนโสด การเป็นคนที่ไม่ถูกเลือก และการหาคำตอบที่ไม่ทำร้ายหัวใจที่เจ็บช้ำจากความสัมพันธ์ที่ผิดหวัง
ดังนั้นในความสำเร็จของเลือดกรุ๊ปบีจึงอยู่ที่การเชื่อมโยงผู้ฟังเข้ากับบรรยากาศ เข้ากับความรู้สึกของสังคมร่วมสมัย เราสัมผัสความรู้สึกหว่องๆ ในจังหวะแบบซิตี้ป๊อบ รับรู้ความเหงาในการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ ค่อยๆ นึกย้อนถึงเหตุการณ์การหายตัวไปในความสัมพันธ์ร่วมสมัย การค่อยๆ พยายามไต่ถามตัวเองเพื่อคลี่คลายปมในใจจากความผิดหวัง บางครั้งคำตอบของความไม่สมหวังอาจไม่ได้มีความหมายอะไร ไม่ได้มีใครผิด โดยเฉพาะตัวเราและการกระทำของเรา
ฉันเนี่ยมันไม่ดีตรงไหน? ความเหงาในเมืองและความสัมพันธ์ดิจิทัล
จุดเด่นของเลือดกรุ๊ปบี คือความทีเล่นทีจริง แต่ลึกๆ แล้ว เราเองก็พอสัมผัสบรรยากาศของความรู้สึกและความสัมพันธ์ร่วมสมัยได้จากตัวเพลง เราเห็นภาพความเหงาและความเดียวดายในเมืองใหญ่ และในความเหงานั้นบางส่วนก็เกี่ยวข้องกับรูปแบบความสัมพันธ์ในยุคปัจจุบัน การเดทกันผ่านโลกออนไลน์ ความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนและบางครั้งน่างุนงง สถานะที่เราทุกคนอาจจะเคยเป็นคือการเป็น ‘คนคุย’ ที่คุยๆ อยู่ก็กลายเป็นคุยคนเดียว คุยไปไม่มีคนตอบ ไปอาบน้ำแล้วหายสาปสูญไปไม่กลับมาอีกเลย
ภาวะของการคุยแล้วหายเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการ Ghosting คือคุยๆ อยู่เหมือนมีตัวตน แต่อยู่ๆ คนคนนั้นก็เลือนหายไปจากชีวิตเราเฉยๆ ปรากฏการณ์นี้เป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มาจากบริบทของโลกออนไลน์
คืออาจจะเป็นเหมือนการคุยกันแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
มักสัมพันธ์การเดทจากแอปพลิเคชั่น นอกจากการปฏิสัมพันธ์ผ่านโลกออนไลน์ที่มีความลำลอง อาจจะยังไม่มีการผูกสัมพันธ์ระหว่างกันทางความรู้สึกมากนัก รวมถึงการพบเจอโอกาสใหม่ๆ จากการแมชกับผู้คนที่หลากหลายและมีปริมาณมากๆ การหายไปเฉยๆ จึงเป็นการกระทำหนึ่งที่ฝ่ายหนึ่งมักเลือกทำ คือไม่อ่าน ไม่ตอบ อ่านแล้วไม่ตอบ เลิกคุยไปโดยปริยาย โดยหวังว่าจะให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ ‘การปฏิเสธ’ โดยความเงียบของตน หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ใส่ใจ ‘คนคุย’ อีกฝ่ายหนึ่งเท่าไหร่นัก และคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่จริงจังในการคุยกันเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าการหายไปของคนคนหนึ่ง เป็นการปฏิเสธที่อีกฝ่ายเข้าใจเจตนาได้ แต่ในความสัมพันธ์ หลายครั้งแต่ละฝ่ายมักจะมีจุดยืนหรือการลงความรู้สึก ความคาดหวัง กระทั่งการลงทุนตัวตนของตัวเองไปในการคุยนั้นๆ บ่อยครั้งที่การ ‘โดนเท’ ทิ้งร่องรอยบาดแผลบางอย่างไว้ โดยเฉพาะความสงสัยในตัวเอง การมูฟออนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ดังนั้น คำถามสำคัญที่เป็นประโยคแรกคือ ‘ฉันนี่มันไม่ดีตรงไหน’ คือคำถามแรกๆ ของคนถูกทิ้ง และคำถามนั้นอาจจะหลอกหลอนเราเรื่อยไปในการแสวงหาความสัมพันธ์ต่อๆ ไป
ไอ่ที่เขาทำฉันนั้นก็ทำ: กฎเกณฑ์ของความโรแมนติก
ความรู้สึกที่เราพอสัมผัสได้จากเลือดกรุ๊ปบี คือการเป็นคนมีอารมณ์ขันแต่ลึกๆ ก็แอบเหงาและร้าวราน ประเด็นเรื่องความเหงาบางครั้งสัมพันธ์กับมิติทางสังคม เราถูกทำให้เหงาหรือเราเหงาเองจากการอยู่ลำพัง แนวคิดหนึ่งคือความเหงาบางครั้งสัมพันธ์กับสื่อ กับสังคมที่มีการมีคู่และการแต่งงานเป็นปลายทางของชีวิต โลกสมัยใหม่ให้ภาพชีวิตที่เป็นปกติคือการมีคู่ เรามีกฎเกณฑ์ของความโรแมนติกอยู่ เราอยากออกไปเดินจูงมือ ไปนั่งกินข้าวร่วมกัน ร้านรวงและโปรโมชั่นต่างๆ ดูจะให้สิทธิประโยชน์กับคนมีคู่มากกว่าคนที่อยู่ตามลำพัง
ดังนั้นคำว่าไอ่ที่เขาทำฉันนั้นก็ทำ ก็เลยสะท้อนภาพของความโรแมนติกที่ล่องลอยอยู่รอบตัวเรา ถ้าเราใช้ชีวิตตามปกติ ดำเนินชีวิตเหมือนคนทั่วๆ ไป วันหนึ่งเราก็ควรจะได้ตกหลุมรัก ได้เจอใครซักคน เราอาจจะไปเดท อาจจะเล่นแอปฯ ไปไหว้พระตรี ทำทุกอย่างที่ไม่ต่างจากใครๆ
ท่ามกลางภาพของการมีคู่ การสมหวังในความรัก การเป็นโสดหรือความไม่สมหวังก็เลยดูจะยิ่งทวีความเหงาและความร้าวรานให้เข้มข้นมากขึ้น ภาพจากหนังโรแมนติกซักเรื่อง การเป็นตัวเอกที่ไม่ต่างกับในซีรีส์ การมูเตลูและอีกสารพัดอย่างที่ในสารพัดเรื่องเล่าควรจะลงเอยด้วยความสมปรารถนา สุดท้ายเราอาจจะพบว่า ภาพและเส้นทางทั้งหลายนั้น ในชีวิตจริงก็มีหนทางของตัวเอง
เพราะไม่ใช่ความผิดของใคร แต่เป็นเพราะเลือดกรุ๊ปบี
ความน่ารักของเลือดกรุ๊ปบีคือความเจ็บ ที่ไม่เจ็บมาก คือโอ๋ตัวเองได้ เราเข้าใจความรู้สึกเหงา ความเดียวดายอาจจะในภาวะล็อกดาวน์ การพยายามเชื่อมต่อกับผู้คนผ่านโลกออนไลน์ ความสัมพันธ์ที่ติดๆ ดับๆ คือเศร้าแต่ไม่ฟูมฟาย และสุดท้ายเราก็หาทางปลอบใจตัวเองได้ เราเข้าใจความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอตอนจบแบบนิทานก่อนนอน หรือโลกสมัยใหม่ก็ไม่ได้ให้ภาพความสัมพันธ์ที่สิ้นสุดลงที่การครองรักหรือภาพรักแท้แบบเดิมๆ อีกต่อไป เราเข้าใจความซับซ้อนและความเฉพาะเจาะจงของความรัก
ดังนั้น คำว่าเราผิดตรงไหน ทำอะไรผิดรึเปล่า ในมิติของความสัมพันธ์ การเวิร์คหรือไม่เวิร์คอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเลย คนถูกทิ้งอาจเป็นแค่ไม่ใช่ คนจะเป็นโสดก็เพราะว่ามันไม่มีใคร จังหวะเวลา หรือเงื่อนไขที่อาจเป็นความลับของจักรวาล เป็นสิ่งที่เราเองไม่มีวันและไม่จำเป็นต้องเข้าใจ สิ่งที่เราพอทำได้คือการให้คำตอบที่รู้สึกสบายใจ เราเกิดมาเป็นคนกรุ๊ปบี อาจจะแค่ไม่มีดวง หรือเราอาจจะปรับเปลี่ยนอะไรนิดหน่อยที่อาจทำให้โชคดีขึ้นมาบ้าง ลองเปลี่ยนเบอร์โทรดู แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวเองหรือนั่งสงสัยในการกระทำหรือความผิดพลาดที่จะกลับมาทิ่มแทงตัวเรา
ในเพลงและเนื้อเพลงที่ปนเปไปด้วยความทีเล่นทีจริง ประโยคที่เราพูดกันขำๆ เช่นหายไปแล้วไม่รู้เป็นตายร้ายดีไหม ไปจนถึงการพูดถึงโชคชะตา ในความเล่นนั้นเราเองต่างเชื่อมต่อเข้ากับเนื้อหาและบรรยากาศของการเป็นผู้แสวงหาและเฝ้ารอความรักความสัมพันธ์
โดยในความสัมพันธ์ร่วมสมัยที่หลายครั้งแม้เราจะพูดออกมาว่าในมุมแบบขำๆ โดยเท หายไป เป็นแค่คนคุย การเจอกับเหตุการณ์ความผิดหวังต่างๆ ทั้งหมดลึกๆ แล้วก็มีบาดแผลบางอย่าง การต่อรองกับความผิดหวัง การหาคำตอบและการทำความเข้าใจความรักที่ไม่มีสูตรสำเร็จ ความไม่สมหวังอาจจะไม่ได้เป็นผลของความผิดพลาดใดๆ นอกจากโชคชะตา
และที่สำคัญคือสุดท้าย เราเองก็ยังคงมีความหวังในฐานะชาวกรุ๊ปบีที่อาจจะมีคนรักได้เหมือนเช่นที่คนอื่นๆ เป็น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนเลือดกรุ๊ปบี ในฐานะคนโสดที่มีความสุขได้ในทุกๆ วัน
อ้างอิงข้อมูลจาก
digitalcommons.buffalostate.edu