จีนแผ่นดินใหญ่ ดินแดนมหาอำนาจที่อยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย ประเทศที่มีประชากรหลั่งไหลไปอยู่อาศัยและท่องเที่ยวเกือบทั่วทุกมุมของโลก (ซึ่งคนไทยอย่างพวกเราน่าจะนึกออกได้ไม่ยาก) เวลาที่มีโอกาสจะไปเหยียบแดนมังกร ถ้าไม่ใช่คนที่หลงใหลวัฒนธรรมภาษาหรืออะไรบางอย่างจริงๆ หลายคนก็อาจจะหยุดชะงักกับความคิดของตัวเองเล็กน้อยก่อนตัดสินใจ
กำแพงเมืองจีน ส้วมหลุม เสี่ยวหลงเปา ของก๊อปปี้ ในฐานะคนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นประเทศนี้มากนัก สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งแรกๆ ที่เรานึกถึง
หลังข้ามน้ำข้ามทะเลมาราวๆ 4 ชั่วโมง อาตง ไกด์จีนท้องถิ่นที่สื่อสารภาษาไทยได้อย่างแจ่มชัด มาต้อนรับคณะเดินทางที่ท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ ก่อนจะใช้เวลานั่งรถเข้าเมืองอีกพักใหญ่ อากาศเป็นสิ่งที่เห็นความแตกต่างจากหลายชั่วโมงก่อนอย่างชัดเจน หากไม่นับว่านครเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องฝุ่น PM 2.5 อุณหภูมิเลขสิบปลายๆ ก็ถือเป็นอากาศที่สบายทีเดียวในช่วงเวลาที่ขึ้นชื่อว่าซัมเมอร์ และสถานที่ที่เราจะไปก็คือ ‘ภูเขาหวงซาน’ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่า ‘สวยงามทุกฤดู’
สัมผัสแรกที่ทำให้มั่นใจว่าได้มาเหยียบแดนมังกรแล้วจริงๆ คือ แทบไม่มีภาษาอังกฤษให้เราเห็นเลย ถ้าไม่นับสถานที่ที่มีความเป็นนานาชาติอย่างเช่นสนามบิน ดังนั้นผู้คนที่นี่ที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเราได้ก็มีไม่มาก หากมีผู้ร่วมเดินทางที่ฟังและพูดภาษาจีนได้ คนคนนั้นอาจจะกลายเป็น‘เทวดา-ฟ้านาง’ในทริปเลยก็ได้
นอกจากเรื่องของภาษาแล้ว ‘ผู้คน’ ที่นี่เองก็มีความหลากหลาย คนจีนไม่ได้มีประเภทเดียวอย่างที่เรารู้จัก พวกเขาใช้ชีวิตทั่วๆ ไป เคารพกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ โครงสร้างทางสังคมที่ดี ทำให้เราแทบไม่เห็นขยะตามฟุตปาธเลย
ข้อสังเกตหนึ่งที่เราพอจะมองเห็นได้อาจเป็นเรื่องของการที่ ‘ใครคนหนึ่ง’ เข้าไปอยู่ในอีก ‘พื้นที่หนึ่ง’ ที่ไม่ใช่พื้นที่ของเรา หลายครั้งอาจทำให้เห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้ ‘เจ้าของพื้นที่’ รู้สึกไม่สบายใจกับคนแปลกหน้า ความรู้สึกคล้ายๆ กับเวลาที่คนจีนมาเที่ยวบ้านเราก็จะมีปฏิกิริยาแบบหนึ่ง การที่คนบ้านเราไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็จะได้รับปฏิกิริยาบางอย่างคล้ายๆ กัน หรือแม้แต่คนจีนด้วยกันเอง ความเป็นแผ่นดินใหญ่ที่มีพื้นที่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก คงไม่ใช่เรื่องแปลก หากประชากรของพวกเขายังไปเที่ยวในประเทศตัวเองไม่หมด ดังนั้นการที่คนจีนต่างถิ่นมาเที่ยวอาจจะแสดงพฤติกรรมบางอย่าง ทำให้คนจีนเจ้าของพื้นที่ก็อาจจะมีปฏิกิริยาบางอย่าง ปฏิกิริยาที่ว่ามานี้อาจเป็นความรู้สึก ‘มองบน’ ลึกๆ อยู่ข้างใน สถานการณ์จริงที่เราได้ไปเจอก็คือ ถ้าเรายืนเฉยๆ เขาจะไม่สนใจ ถ้าเราต่อแถว เขาจะเริ่มแทรกตัว แล้วถ้าเราก้าวเท้า เขาจะวิ่งแซงเราไป …เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามดั่งโลกแห่งสรวงสวรรค์ คล้ายภาพวาดที่มีแต่ม่านหมอกปกคลุม บ้างก็บอกว่าเป็นเหมือนภาพหนังจีนกำลังภายใน มีความแฟนตาซีเหมือนโลกในฝัน ‘ภูเขาหวงซาน’ เป็นภูเขาที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในจีน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญ ตั้งอยู่ในมณฑลอันฮุย อยู่เหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,800 เมตร ด้วยความสูงเช่นนี้ แน่นอนว่า เราจะไม่มีทางเดินขึ้นไป! เนื่องจากทางเดินขึ้นไปด้านบนมีบันไดมากถึงหกหมื่นขั้น ซึ่งการจะเดินขึ้นไปใช้เวลาเป็นแรมเป็นวัน
แต่ก่อนที่เราจะเดินทางไปถึงยอดเขานั้น จากตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ เราจะต้องนั่งรถไฟความเร็วสูง G7319 ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วกว่า 300กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถขึ้นรถไฟได้ที่สถานีรถไฟเก่าเซี่ยงไฮ้ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังสถานีหวงซานเป่ย ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา ระยะทางคงไกลพอๆ กับกรุงเทพ-ขอนแก่น เพียงแต่ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น ภายในขบวนรถแบ่งที่นั่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งซ้าย 3 ที่นั่ง ฝั่งขวา 2 ที่นั่ง หันหน้าไปทิศทางเดียวกัน ตลอดสองข้างทางมองเห็นต้นไม้ สายน้ำ ธรรมชาติที่พูดได้เต็มปากว่าธรรมชาติจริงๆ แล่นผ่านภูเขาเข้าทะลุเข้าไปในอุโมงค์มืดจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ได้พักผ่อนไปหลายงีบ สามารถเก็บพลังงานในการเดินทางต่อได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่เดินทางมาถึงหวงซานเป่ยยามบ่าย เราจะต้องนั่งรถทัวร์ไปยังหน้าอุทยานเพื่อซื้อตั๋วเข้าไปด้านใน โดยจะต้องต่อรถบัสในพื้นที่อีกครั้งหนึ่งก่อนขึ้นไปยังเป้าหมายด้านบนของเรา
สภาพอากาศเป็นใจให้กับเราเสมอ หลังจากนั่งรถบัสมาได้สิบหานาที … ฝนตกโครม!
ก่อนมาร่วมทริปครั้งนี้ เราได้หาข้อมูลมาเล็กน้อย พบว่าบนยอดเขานั้นอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดทุก 15 นาที คิดในใจว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง หลายคนเตรียมเสื้อกันฝนมาปกคลุม แล้วฝ่าละอองความชื้นตะลุยขึ้นกระเช้าไปยัง ‘ภูเขาหวงซาน’
การจะนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบน ไม่แนะนำให้นำกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ขึ้นไป โดยเฉพาะกระเป๋าที่เป็นล้อลาก เพราะว่าจะต้องเดินต่ออีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง รวมการเดินชมวิวบนภูเขาก็นับอีกหลายกิโลเมตร (หรืออาจจะหลายสิบกิโลเมตร) แม้ฝนจะตกลงมาตลอดเวลา มีหยดฝนเข้ามาตามขอบหน้าต่าง ลมพัดกระเส่าให้ใจเต้นเล่นๆ แต่ก็มั่นใจในความแข็งแรงของกระเช้าได้ สองข้างทางมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสายฝนและควันหมอก ทำให้คนที่กลัวความสูงง่าย มองลงไปด้านล่างยังไงก็ไม่มีทางกลัว เพราะมองไม่เห็น!
กระเช้าจอดที่สถานีด้านบน ทุกคนต่างตกตะลึงสิ่งที่เห็น ภาพวาดที่จินตนาการไว้กลายเป็นเพียงฝ้าที่กระจายไปทั่วพื้นที่ เหมือนยืนอยู่บนก้อนเมฆ มองเห็นทุกอย่างเป็นสีขาว แม้จะห่างกันเพียงไม่ถึงเมตรก็มองไม่เห็นอะไรเลย ก่อนจะใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งเพื่อเดินต่อไปยังที่พัก มีบริการจากลูกหาบสำหรับคนที่อยากเก็บพลังงานไว้ใช้ในการเดิน ลูกหาบจะทำหน้าที่แบกกระเป๋าไปยังจุดหมายปลายทางคล้ายๆ ภูกระดึงบ้านเรา ทำให้ค่ากินอยู่บนนั้นก็จะแพงขึ้นไปด้วย
ระหว่างทางเดิน ภูเขาหวงซานมีพื้นหินที่แข็งแรง ทางเดินกว้าง และไม่ได้ชันหรือว่าอันตรายอย่างที่คิด อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ดังนั้นใครที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายก็สามารถแบกกระเป๋าไปเองได้ มีบันไดขึ้นบ้างลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่สูญเสียพลังงานทางร่างกายมากขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวหรือคนสูงวัยเองก็เดินขึ้นลงให้เราเห็นได้เป็นปกติ
แม้ว่าภาพรวมระหว่างการอยู่บนเขาจะดูมีอุปสรรคมากมาย หลังจากวันแรกที่มองเห็นทุกอย่างเป็นฝ้าสีขาว แต่วันต่อมาท้องฟ้ากับสลับตรงกันข้าม แดดออกจ้า เห็นทัศนียภาพชัดเจน อาการกลัวความสูงเริ่มแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างทางเดินไปยังจุดชมวิวจะต้องเลาะหน้าผาที่อยู่ตามแนวขอบภูเขาซึ่งกว้างราวๆ 1 เมตร แม้จะมีรั้วกั้นอย่างแข็งแรง แต่หากชะเง้อหน้าออกไปก็อาจจะทำให้ขาสั่นได้ไม่ยาก ถึงอย่างนั้น เมื่อมองเห็นทะเลหมอก ทอดสายตาไกลผ่านหุบเขาไปสุดสายตา ก็รู้สึกได้ว่าเป็นภาพที่น่าไปสัมผัสด้วยสายตาตัวเองครั้งหนึ่งในชีวิต
‘อากาศเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาที’ เป็นเรื่องจริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ บางจังหวะ แสงแดดสาดส่องทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เพียงไม่กี่นาที ม่านหมอกพัดเข้ามากลายเป็นสีขาวโพลนทำให้สวยไปอีกแบบหนึ่ง และอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเช่นนี้ทั้งวัน อันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของภูเขาหวงซาน เราจะได้เห็นภาพที่ไม่เหมือนกันในทุกฤดูกาล ทำให้ผู้คนจากทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวหลายหมื่นคนต่อวัน ไม่เว้นแม้แต่ประชาชนชาวจีนเองก็ตาม
เวลาพูดถึงหวงซาน หลายคนอาจจะนึกถึงเพียงแค่ ‘ภูเขาหวงซาน’ แต่จริงๆ แล้วด้านล่างของภูเขา เป็นพื้นที่ราบและยังคงอยู่ในมณฑลอันฮุย มีสถานที่ท่องเที่ยวให้แวะเวียนอีกหลายที่ โดยเฉพาะใครที่ชอบประวัติศาสตร์หรือดูวิถีชีวิตแบบท้องถิ่น
‘หมู่บ้านหงชุน’ เป็นสถานที่หนึ่งในมณฑลอันฮุย ซึ่งเป็นมรดกโลก มีประวัติศาสตร์มาไม่น้อยกว่า 800 ปี มองจากภายนอกจะเห็นทัศนียภาพ ด้านหลังเป็นหุบเขาสวยงาม สภาพอากาศทุกอย่างลงตัวกำลังดี มีนักเรียนนั่งสเก็ตภาพหมู่บ้านหงชุนอยู่ริมน้ำเป็นจำนวนมาก ขณะที่นักท่องเที่ยวก็ยังคงพลุกพล่าน ต้องทยอยคอยเดินผ่านทางเข้าเป็นสะพานโค้งสั้นๆ ซึ่งมองเห็นเป็นสิ่งแรกๆ และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของหมู่บ้านดังกล่าว ส่วนภายในนั้นมีสถาปัตยกรรมที่ยังคงได้รับการรักษาสภาพไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง มีระบบชลประทานแบบโบราณที่ยังคงใช้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะรักษาความดั้งเดิมไว้หลายอย่าง แต่ผู้คนกว่าร้อยครัวเรือนที่อาศัยและใช้ชีวิตในนี้ก็สามารถหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองได้เป็นปกติ