“พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?”
คือชื่อเพจบนเฟซบุ๊กที่ พลอยไพลิน ตั้งประภาพร ตั้งขึ้นมาหลังจากความรู้สึกสับสนกับตัวเอง ว่าอนาคตหลังรับปริญญาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในช่วงเวลาที่กำลังสับสน และกระวนกระวายใจ เธอเลือกที่จะออกเดินทาง โดยมีไฮไลท์สำคัญคือเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรีย จากจีนสู่มองโกเลีย และต่อจากมองโกเลียคือรัสเซีย ก่อนจะไปถึงปลายทางที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นี่คือการเดินทางที่เธอฝันถึงตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง หลังเรียนจบเธอจึงใช้เงินที่ตั้งใจเก็บมาตลอดการทำงาน มาทุ่มให้กับการเดินทางครั้งนี้
ด้วยความหวังว่า การเดินทางครั้งนี้จะช่วยให้เธอได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้น
เรามีนัดคุยกับพลอย หลังจากที่รู้ว่าเธอได้หยิบเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เข้าใจจากช่วงเวลา 37 วันกับการเดินทางใน 8 ประเทศมาบอกเล่าผ่าน ‘วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน’ หนังสือเล่มแรกในชีวิตของเธอ
เด็กวัยรุ่นคนนี้ที่เคยเจ็บปวดกับการถูกเรียกว่าเป็น ‘เป็ด’ ได้เปลี่ยนไปอย่างไรจากการเดินทางครั้งนี้บ้าง? มาอ่านไปพร้อมๆ กับบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
ก่อนหน้านี้เคยเดินทางคนเดียวมาก่อนไหม
ไม่เคยเลยนี่เป็นครั้งแรก
อะไรคือเหตุผลของการเดินทางครั้งนี้
มันเกิดขึ้นจากความตั้งใจของเราที่อยากทำอะไรสักอย่างก่อนเรียนจบ มันเหมือนเวลาเดือนนึง ถ้าเราทำงานคงหาอะไรแบบนี้ไม่ได้แล้ว มันเป็นช่วงที่เรากำลังสับสนกับอะไรบางอย่างในตัวเองด้วย เราคิดว่า ถ้าเดินทางคนเดียวก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น
ตอนนั้นสับสนเรื่องอะไร
ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ต้องการอะไรในชีวิต ตอนนั้นเราเครียดมาก ถามคนนู้นคนนี้ว่าจะทำไงดี ว้าวุ่นมาก ตอนแรกตัดสินใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แต่มันก็คือการไปเรียนต่อเพื่อหาอะไรทำ และจะได้เป็นคำตอบได้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่ มีคนบอกว่า ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเอาปริญญาโทไปต่อยอดอะไร ก็พักก่อนไหมสักปีนึง เพื่อออกไปทำอะไรอย่างอื่นดู เราก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าสิ่งนี้มันจะกลายเป็น gap year
ภาวะที่ไม่รู้ว่าเรียนจบทำอะไร มันเครียดแค่ไหน
เครียดมาก เหมือนเราไม่เคยตั้งคำถามตั้งแต่สมัยเข้ามหาวิทยาลัย คือเราเรียนภาพยนตร์ โดยที่เรียนมันเพราะชอบเล่าเรื่อง ชอบถ่ายรูป แต่ไม่ได้ตั้งคำถามว่าแล้วจบไปแล้วจะทำอะไรต่อ เราไม่รู้เลย
เราเกิดความสับสนระหว่างสองเรื่อง มีคนบอกเราว่า ถ้าชอบอะไร ก็อย่าไปทำงานนั้น เพราะเราจะไม่ชอบงานที่เราทำ แต่ก็มีคนที่บอกว่า ต้องทำในสิ่งที่ชอบเราถึงจะมีความสุข เราก็สับสนว่าระหว่างสองเรื่องนี้ เราควรจะเชื่อสิ่งไหนดี
ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน
ตอนปีสี่ที่จะยื่น thesis แล้ว ตอนนั้นเราก็ยังแสดงละครอยู่นะ ซึ่งเราตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วเราจะเป็นนักแสดงต่อไปจริงๆ หรอ เราชอบมันจริงๆ หรอ เราเข้ามาเพราะอยากรู้ว่าวงการบันเทิงมันเป็นยังไง
ตอนนั้นก็รู้สึกเคว้งคว้างนะ รู้สึกว่าทำไมชีวิตนี้มันยากจังเลยวะ เพราะที่ผ่านมาเราก็ไปแสดงละคร แสดงเสร็จก็กลับมาเรียน ทำคะแนนให้ดี ทำงานส่งอาจารย์ให้ครบ เราใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อยๆ จนไม่ค่อยได้คิดถึงอนาคตเท่าไหร่ จนเรียนถึงรู้ว่าต่อจากนี้มันคือของจริงแล้วนะ เราอาจจะมีหนทางให้เลือกอยู่ แต่เราก็ไม่รู้จะเลือกอะไร ทำให้เคว้งมาก
ในขณะมีหลายคนที่เรียนจบก็จะรีบสมัครงาน ส่งเรซูเม่ไปเยอะๆ เพื่อให้อุ่นใจว่าเรียนจบแล้วมีงานทำแน่ๆ อยากรู้ว่าตอนนั้นพลอยทำอะไรบ้าง
ตอนนั้นเราแสดงละครไปด้วย เลยไม่ได้คิดว่าต้องส่งเรซูเม่เหมือนเพื่อนๆ แต่จุดที่เราต้องออกเดินทางแล้ว มันคือจุดที่เราไม่มีงานจริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนก็คงไม่มีเวลาเตรียมตัวให้ทันเพราะเวลาเดินทางมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว แล้วบวกกับการที่เพื่อนมาบอกเราว่า ลองไปเดินทางคนเดียวดูแล้วรู้จักตัวเองมากขึ้นก็ได้นะ
การเดินทางครั้งนี้ของพลอยมันมีความหมายยังไง มันคือเพื่อพักผ่อนหรือตามหาความฝันมากกว่ากัน
มันคือการทำตามหาความฝันเลย เราเคยฝันว่าต้องไปเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรียให้ได้
รู้จักเส้นทางนี้ตอนไหน
เราเล่นเฟซบุ๊กแล้วก็เห็นคนแชร์ๆ กันมา ค้นพบว่ามันคือรถไฟที่ผ่านทั้งจีน มองโกเลีย แล้วก็รัสเซีย ตั้งแต่เอเชียแล้วเข้ายุโรป เราบอกกับเพื่อนเลยว่า ต้องไปให้ได้ แต่ก็พูดไปงั้นๆ เพราะพอเรียนจนถึงปีสี่ก็ลืมไปหมดเลย มานึกขึ้นได้ก็ช่วงหลังนี่แหละ
ตั้งเป้าอะไรไว้กับการเดินทางครั้งนี้บ้าง
เราบอกกับพ่อไว้ว่า หนูอยากไปคนเดียว ตอนแรกบอกแค่ว่าอยากไปมอสโคว์ พ่อถามว่าทำไมต้องไปคนเดียว สำหรับเราแล้ว การไปคนเดียวมันน่าจะช่วยให้เราได้ตกตะกอนอะไรบางอย่างในความคิดของเรา
เล่าให้ที่บ้านฟังยังไง เพราะมันดูเป็นการผจญภัยที่ใหญ่เหมือนกันนะ
ตอนแรกส่งไลน์ไปบอกพ่อก่อน ไม่ได้บอกตรงๆ คือบอกว่าจะไปรัสเซียเดือนนึงนะ ไม่กล้าบอกด้วยว่าจะไปทางรถไฟ แต่บอกไปแล้วก็ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา เขาน่าจะคิดว่าพลอยมาบอกอะไรอีกแล้ว เพราะพลอยชอบบอกว่าอยากไปเที่ยวที่นู่นที่นี่บ่อยๆ คงไม่ได้ซีเรียสอะไร
พอทุกคนไม่ได้สนใจเรา แล้วเราก็ต้องการคำประมาณว่า โอเคพลอยไปได้นะ เพื่อให้เรามั่นใจหน่อย เราก็เลยไปคุยกับพ่อต่อหน้าอีกทีนึง ซึ่งพ่อก็เงียบ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องไปเที่ยวแบบนี้เท่าไหร่ เพราะคิดว่ามันสิ้นเปลืองเงิน คือเมื่อก่อนเขาห้ามนะ แต่ห้ามไม่ได้ เพราะเราเป็นคนค่อนข้างดื้อ (หัวเราะ)
พ่อถามว่าจะไปทำไมคนเดียว เราก็เลยตอบว่า ไม่รู้ว่าพอทำงานแล้วจะมีเวลาแบบนี้อีกรึเปล่า และตอนนี้มันก็เป็นช่วงเวลาที่พลอยกำลังสับสนจริงๆ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้น่าจะตอบอะไรเราได้บางอย่าง มันน่าจะเป็นของขวัญที่เราให้ตัวเราเองสำหรับการเรียนจบด้วย พ่อก็เงียบๆ แล้วก็บอกว่าลองดู
หมายความว่าก็อนุญาตให้ไปได้
ใช่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนก่อนจะเดินทางเราก็สงสัยพ่อเราเหมือนกัน ว่าทำไมพ่อถึงให้เราไปได้ง่ายขนาดนี้ เราเลยไปคุยกับเขาที่ห้องนอนก่อนที่จะบิน ถามพ่อว่าทำไมถึงให้เราไปง่ายจัง พ่อบอกว่า ก็เห็นว่าเราโตแล้วและน่าจะเรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ได้บ้าง
ทำไมถึงคิดว่าการเดินทางจะช่วยเราออกจากภาวะที่สับสนในชีวิตได้
ไม่รู้ และเราไม่เคยเชื่อเลยนะว่าการเดินทางจะช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะเราก็คือเราอยู่แล้ว แต่พอมีคนบอกเรื่องนี้มา เราก็สงสัยว่ามันจริงไหม ก็เลยลองไป มันเลยเป็นการเดินทางเพื่อพิสูจน์เรื่องที่เขาบอกมากัน แต่ก็แอบคิดว่ามันน่าจะจริงบ้างแหละ
ความรู้สึกของเราก่อนจะที่ออกเดินทางเป็นยังไงบ้าง เพราะมันคือการเดินทางคนเดียวครั้งแรก แถมยังเป็นทริปที่ค่อนข้างยาวนานด้วย
เราร้องไห้ในคืนก่อนที่จะออกเดินทาง เป็นครั้งแรกที่จะไปเที่ยวแล้วร้องไห้ แต่ไม่กล้าบอกแม่ว่าร้องไห้ เพราะกลัวแม่ไม่ให้เราไป คือเรากลัวมากนะ กลัวมากจริงๆ ไม่เคยกลัวขนาดนี้
คืนก่อนที่เราจะบิน เราเห็นหน้าแม่เราก็ร้องไห้ แม่ก็เหมือนจะรู้ เลยถามว่าพลอยเป็นอะไร กลัวเรื่องไปเที่ยวใช่ไหม ไม่ต้องไปก็ได้นะ เดี๋ยวแม่คืนค่าตั๋วให้ เราก็ตอบไปว่าไม่ได้กลัว แต่ร้องไห้เพราะเหงาที่อยู่บ้านมาหลายวันแล้ว (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วคือกลัวมาก
กลัวกับเรื่องอะไรบ้าง
คือตอนที่เราจองตั๋วมันคือความวู่วาม พอเตรียมตัวมาเรื่อยๆ ใกล้ถึงวันเท่าไหร่ เราก็ยิ่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าหนังสือเดินทางหายจะทำยังไง เราไม่รู้เลย หรือถ้าเราบาดเจ็บเดินไม่ได้จะบอกให้ใครมาช่วย ถ้าโดนขโมยของ เราจะทำยังไง เราไม่เห็นภาพตัวเองเลยว่าจะทำยังไง
สุดท้ายแล้วเราก็คิดว่า ต้องวัดใจละ ยังไงต้องไป จ่ายเงินไปแล้วกว่าครึ่งแสนพวกค่าเดินทางต่างๆ และมันก็เป็นเงินเราเองหมดเลยด้วย เพราะพ่อไม่ให้เงินเรา พ่อบอกว่าถ้าอยากไปก็ต้องจ่ายเอง
เราทำงานเก็บเงินมาตลอดเลย ไปแสดงละครหรือทำงานอะไรมาก็เก็บไว้ เราเป็นคนเที่ยวเยอะ เลยทำงานเพื่อไปเที่ยวอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันคือเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มี เพื่อไปเดินทาง มันต้องใช้เงินเยอะมาก
อารมณ์ที่ต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว คิดอะไรกับตัวเองอยู่ ณ ตอนนั้น
มันใจหายตั้งแต่หันหน้าเข้าเกตแล้ว เราไม่เห็นหน้าคนที่บ้าน ตอนนั้นเรารู้สึกเรากำลังออกโลกกว้างจริงๆ แล้ว รู้สึกตื่นเต้น กลัว มันหลากหลายมาก เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง
เอาจริงๆ ตอนนั้นรู้สึกมั่นใจแค่ไหนว่าเราจะทำทริปนี้ให้สำเร็จได้
50/50 นะ พลอยไม่ได้จองตั๋วกลับ เพราะจองที่พักอะไรแค่ถึงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คิดว่าถ้าไม่ไหวก็คงกลับจากตรงนั้น
จุดไหนที่คิดว่าทำได้แล้ว
ตอนที่ถึงมองโกเลีย เมื่อก่อนเรามองตัวเองในแง่ลบมากๆ ชอบคิดว่าตัวเองกาก ทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่เก่งอะไรเลย แต่พอสามารถเดินทางข้ามประเทศจากปักกิ่งไปมองโกเลียได้ มันทำให้เราคิดว่า เราก็ผ่านมันมาได้ เราไม่ได้กากอะไรขนาดนั้น มันคือครั้งแรกในชีวิตที่เราชมตัวเองว่าเก่ง
เคยเห็นที่พลอยให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเป็ด ที่ทำอะไรได้หลายอย่าง
ด้วยความที่เราชอบถ่ายรูป ก็คิดว่าจะลองทำเป็นงานดู เลยไปลองถ่ายรูปรับปริญญาให้น้อง แต่เราทำไม่ได้ เราไม่สามารถคิดคอมโพสต์ได้ แล้วความมั่นใจว่าเราเคยถ่ายรูปได้มันพังทลายลงมาหมดเลย เรานั่งร้องไห้ตอนพักกินข้าวเที่ยงว่าทำไมเราทำมันไม่ได้นะ เพื่อนก็บอกว่า พลอยเป็นเป็ดนะ รู้ตัวรึเปล่า เราก็เลยบั่นทอนตัวเองว่า ทำไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นที่เราทำงานได้ไม่ดี มันทำให้คิดมาตลอดว่าเราไม่เก่งจริงๆ กับการถ่ายรูป
จุดๆ นั้นที่มองโกเลีย มันเลยเปลี่ยนความรู้สึกด้านลบกับการเป็นเป็ดของพลอยได้รึเปล่า
มันเหมือนเราภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนเราไม่เคยภูมิใจในตัวเองเลย พอเราไปถึงที่นั่นทำให้เริ่มรู้สึกว่าเราไม่ได้กากขนาดนั้น ถ้าเราพยายามจริงๆ เราก็ทำได้เหมือนกัน เราเป็นคนที่ทำได้คนนึงแหละ
พูดอย่างนี้ได้ไหมว่า ความภูมิใจในตัวเองมันคงเกิดขึ้นผ่านการทำอะไรด้วยตัวเอง มากกว่าคำชมจากคนอื่น
ใช่ๆ เมื่อก่อนเราเคยรู้สึกว่า สิ่งที่เราเป็นมันไม่ได้มาจากตัวเองจริงๆ ทุกอย่างมันมาจากคนรอบข้าง เราเลยไม่รู้ว่าเราเก่งจริงๆ รึเปล่า แต่พอเราไปมองโกเลียได้ ทุกอย่างมันมาจากเราคนเดียวจริงๆ ก็รู้สึกภูมิใจ
ตอนอยู่บนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียเป็นยังไงบ้าง
อ่านหนังสือกับนอน (หัวเราะ) มันตลกมากเลยนะ เพราะรถไฟเส้นทางนี้มันคือความฝันของเรา แต่มันก็คือจุดที่ไม่โอเค มันน่าเบื่อที่สุดแล้ว เราเคยคิดว่ามันต้องสวยแน่เลยพวกวิวต่างๆ แต่เราก็อยู่กับวิวนี้ 3 วัน
ประทับใจอะไรที่สุดจากเส้นทางสายทรานส์ไซบีเรีย
น่าจะผู้คนที่ได้เจอที่ได้คุย แล้วก็การได้รู้จักตัวเอง ประทับใจสิ่งที่เราได้เรียนรู้มามากกว่า มันเหมือนเราได้เรียนรู้จากสิ่งที่ไม่สามารถเจอได้ในชีวิตประจำวัน ได้เข้าใจโลกมากขึ้น พอเราไปเที่ยวแล้วได้เจอคนที่หลากหลายมากๆ ทั้งคนสหรัฐฯ คนรัสเซีย คนฟินแลนด์ ซึ่งถ้าเราอยู่ไทยคงไม่มีโอกาสได้คุยแบบนี้
การได้นั่งคุยกับคนที่หลากหลาย ทำให้รู้ว่าภาวะที่เรียนจบแล้วยังไม่รู้จะทำอะไรก็เกิดขึ้นกับคนทั่วโลก ตอนแรกเราคิดว่าเป็นแค่กับเด็กไทยเท่านั้น หรือตอนที่ได้คุยกับคนมองโกเลียที่อายุเท่าเรา เขาก็บอกว่าไม่รู้จะเป็นอะไรเหมือนกัน ทำให้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่เป็นแบบนี้
เราได้คุยกับคนไทยคนที่ทำงานเกี่ยวกับส่งออกจานดาวเทียมที่ปักกิ่ง เราถามเขาว่าความฝันของเขาคืออะไร เขาก็ตอบว่า จริงๆ แล้วที่มาทำงานอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ความฝันเขาเลย มันแค่เขาทำมาเรื่อยๆ จนมันมาถึงจุดนี้เอง
เราเลยคิดได้ว่า คำตอบของชีวิตมันไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว มันไม่ใช่คำตอบเดียวเสมอไปว่าต้องทำงานที่รัก หรือทำงานที่เราทำได้ พอเราไปเจอคน เราเข้าใจว่า มันมีหลายคำตอบที่คนเรามันจะเป็นได้
แล้วพลอยได้คำตอบอะไรกับตัวเอง
ได้คำตอบว่าให้ทำสิ่งที่เราสบายใจที่สุด ตอนแรกเราคิดว่าต้องหาอาชีพเดียว แต่จริงๆ แล้วทุกคนไม่ต้องทำอาชีพเดียวก็ได้ คือตอนนี้เราทำงานนักแสดงไปก่อน ระหว่างทางนี้เราก็ทำอย่างอื่นควบคู่ไป หรือถ้าวันนึงเราเจอสิ่งที่ชอบ เราก็สามารถเปลี่ยนไปทำสิ่งนั้นได้
ชีวิตมันมีหลายหนทางมาก มันไม่ได้มีแค่คำตอบเดียวว่าจะทำอะไรต่อ พอเราเข้าใจแบบนั้น เราก็กลับมาทำงานเป็นนักแสดง เพราะต้องใช้เงิน (หัวเราะ) แต่เราไม่หยุดที่จะทำอย่างอื่นพร้อมๆ กันไปด้วย
ตัวเราหลังจากผ่านการเดินทางจากมองโกเลียเป็นยังไงบ้าง
เปลี่ยนไปเลย ความกลัวมันหายไปหมดเลย กลายเป็นความสนุกของการเที่ยวแทน ทีนี้พอเราถึงมอสโคว์ เราก็ยังไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ มันเป็นช่วงตีสี่ด้วยแหละ แต่พอถึงแล้ว เราก็ยืนยิ้มกับตัวเอง ดีใจกับตัวเองว่าเราทำได้แล้ว เดินทางผ่านครึ่งโลกมาได้แล้ว
ทำไมตัดสินใจว่าจะไปต่อ ไม่หยุดอยู่แค่รัสเซีย
มันแค่ความอยากเฉยๆ จริงๆ เราเริ่มเดินทางต่อไปยังฟินแลนด์ ตอนแรกเราอยากไปดูแสงเหนือที่สแกนดิเนเวีย แต่การนั่งรถไฟมันคือการได้ทำตามความฝันไปแล้ว เราก็อยากเก็บความฝันที่จะได้ดูแสงเหนือเอาไว้ก่อน คงเพราะกลัวว่าความฝันมันจะหมด ไม่อยากไปดูแสงเหนือที่สวยๆ คนเดียว เราอยากไปดูกับใครบางคน หรือดูกับครอบครัว
ช่วงที่เดินทางในยุโรปจนไปถึงปารีสเป็นยังไงบ้าง สนุกไหมกับการเที่ยวที่วางแพลนเองไปเรื่อยๆ
มันสนุกอยู่แล้ว แต่ว่าด้วยความที่เราเหงา มันเหงามากแบบ เหงาถึงขั้นที่เวลาเราอยู่คนเดียว มันก็เหงา มันไม่มีคนคุยด้วย อีกทั้งยังห่างจากบ้านมานานมาก จริงๆ ความเหงามันเกิดขึ้นตั้งแต่มอสโคว์แล้ว และมันก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาตลอดเส้นทางในยุโรป
ไม่รู้ทำไมว่า พอมาถึงยุโรปแล้วไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคุยด้วยกับเราเลย พออยู่คนเดียวนานๆ มันไม่ได้ใช้เสียงหรือคุยกับใครก็ยิ่งอึดอัด แล้วด้วยความที่มันเป็นยุโรป บรรยากาศหม่นๆ ในฤดูที่อึมครึม ท้องฟ้าไม่สดใส เราก็ยิ่งรู้สึกเบื่อไม่อยากทำอะไร
ความเหงาแบบที่พลอยบอกมันเกิดขึ้นมากสุดที่ไหน
มอสโคว์ทำเราเหงามากที่สุด เพราะมันเป็นเมืองใหญ่ที่มีคนไทยเยอะ มันแปลกมากที่เราเจอคนไทยแต่เรารู้สึกเหงา
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
เพราะการเจอคนไทยมันเหมือนได้รู้สึกว่าอยู่บ้าน แต่จริงๆ ไม่มีใครอยู่กับเรา เราได้ยินคนไทยคุยกันข้างๆ อยู่รอบตัวเลย แต่เราไม่รู้จะเข้าไปคุยกับเขายังไง หรือต้องทักทายยังไงให้เขารู้ว่าเราเป็นคนไทยนะ เราเห็นเขาพาครอบครัว หรือมาเที่ยวกับเพื่อน พอเราเห็นแบบนั้น เราก็คิดว่าดีเหมือนกันนะ อยากพาที่บ้านมาบ้าง เราเลยรู้สึกเหงามาก เพราะอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะแยะไปหมดเลย แต่เรากลับไม่มีใคร
เตรียมใจมาแล้วไหมว่าการไปเที่ยวคนเดียวมันต้องเจออะไรแบบนี้
ไม่เคยคิดเลย ตอนแรกมั่นใจมากว่าสามารถอยู่คนเดียวได้ เพราะปกติเราอยู่กรุงเทพก็เที่ยวคนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียวตลอด ไม่ได้รู้สึกอะไร เลยคิดว่าการไปเที่ยวคนเดียวไม่น่ามีอะไรมั้ง
แต่พอได้พาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น เราก็รู้ว่า ที่เราไม่เหงาเพราะรู้ว่า ถ้ากลับบ้านไปแล้วเราจะเจอใคร แต่ตอนอยู่ที่มอสโคว์ มันกลับบ้านไม่ได้ หรือกลับที่พักไปก็ไม่เจอใคร จริงๆ แล้วที่เราบอกว่าอยู่คนเดียวได้ เพราะเรารู้ว่ามีใครอยู่กับเรามากกว่า
มันต่างจากความคิดที่ว่าการเดินทางมันทำให้เรารู้ว่าพึ่งตัวเองได้พอสมควรเลยนะ
คงเพราะมันทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราก็ต้องการใครบางคนอยู่เหมือนกัน
ยิ่งฟังที่เล่ามาแล้ว ก็ยิ่งคิดว่านี่คือการเดินทางที่โหดมากๆ มีอารมณ์หลากหลายไปหมด
ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหนังเรื่องกาลิเลโอเลยนะ (หัวเราะ) เหมือนว่าผ่านอะไรมาเยอะจัง
ช่วงซึมๆ ได้คุยหรือได้คิดอะไรกับตัวเองบ้างไหม
คิดเยอะเลย ได้คิดว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง เราค่อยๆ เอาเรื่องราวที่ได้มาจากระหว่างทางมาคิดตอนที่อยู่ยุโรปนี่แหละ เราค่อยๆ คิดว่าหรือจะกลับไปทำงานเป็นทัวร์หรือไกด์ดี หรือว่าเราจะเขียนหนังสือดีนะ เพราะเรามีเรื่องราวที่อยากเล่าให้คนอื่นฟังเยอะเลย อีกอย่างนึงคือ หรือว่าเราจะเป็นช่างภาพดี เราเริ่มสังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่างในตัวเองที่มันเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ
เรานั่งอยู่เฉยๆ เปิดสมุดแล้วก็นั่งลิสต์ว่า ในปีหน้าเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ตามที่ความสามารถเราพอจะมี หรือถ้าเราอยากจะถ่ายรูป เราต้องเพิ่มอะไรให้กับตัวเองเพื่อไปถึงจุดนั้นบ้าง
ทริปนี้ช่วยให้เรารู้สึกโตขึ้นไหม
รู้สึกกล้ามากขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือถ้าเป็นเมื่อก่อนถ้ามีคนทักมาชวนให้เขียนหนังสือ เราคงไม่กล้าเขียน เพราะมันคือสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเรามาก เพราะอ่อนแอในภาษาไทยมาก แต่พอมาครั้งนี้ ทำให้รู้สึกว่า เราเองก็ไม่ได้กาก มีโอกาสอะไรเข้ามาเช่นชวนไปบรรยายหน้าผู้คนเยอะๆ เราก็พร้อมจะลอง เหมือนได้เข้าใจตัวเอง และเข้าใจคนอื่น
อะไรคือสิ่งที่พลอยไม่เคยรู้มาก่อน แล้วเพิ่งมาเข้าใจในการเดินทางครั้งนี้
รู้ว่าตัวเองเป็นคนขี้เหงาคนนึง อันนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เริ่มคิดว่าตัวเองน่าจะเอาตัวรอดได้มั้ง เพราะของไม่หายเลย รู้สึกมั่นใจในตัวเอง ภูมิใจในตัวเองมากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้รู้คือโลกความเป็นจริงมันไม่มีคำตอบเดียว
เราเป็นได้หลายอย่างมากกว่าคำตอบเดียว ซึ่งตอนนี้เวลาคนถาม เราก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี
ถึงวันนี้ยังคิดว่าตัวเองเป็นเป็ดอยู่ไหม
ยังเป็นอยู่นะ แต่เข้าใจว่า การเป็นเป็ดไม่ได้แย่เสมอไป ถ้าเรารู้ว่าจุดไหนของการเป็นเป็ดที่เราทำได้ดี ก็เอามาใช้กับชีวิตจริง อย่าไปมองว่ามันไม่ดี ทุกคนมีข้อดีของตัวเอง มันอยู่ที่ว่าเรามีดีในเรื่องอะไร แล้วเอามันมาใช้ยังไงมากกว่า
คิดว่าการเป็นเป็ดมันมีข้อดียังไงบ้าง
มาถึงตอนนี้เรารู้สึกดีใจที่เป็นเป็ดนะ เราชอบถ่ายรูป เราเล่าเรื่องได้เพราะเรียนภาพยนตร์มา ได้แสดงละคร หรือพอออกไปเดินทางแล้วถ่ายรูปมาบอกเล่าเรื่องราวลงเพจของเรา สิ่งนี้มันคือการรวบรวมสกิลทุกอย่างที่เราเป็นเป็ดมาใช้ แล้วมันก็สร้างแรงบันดาลใจให้คนได้
ถ้ากลับไปวันแรกที่รู้สึกว่าชีวิตพังเพราะคำว่าเป็ดมาก พลอยจะพูดอะไรกับตัวเองในวันนั้น
คงจะบอกกับตัวเองว่าอย่าไปคิดแบบนั้น แกเก่ง แกทำได้ แกไม่ได้กากขนาดนั้น
อนาคตหลังจากนี้ตั้งเป้าว่าจะทำอะไรต่อไป
ตั้งใจว่าเป้าหมายปีนี้จะไปมินิมาราธอนให้ได้ ได้แรงบันดาลใจนี้มาจากพี่นิ้วกลม แต่ก็รู้ว่ามันเป็นทั้งสิ่งที่ง่ายและยากมากในเวลาเดียวกัน มันคือการก้าวไปเรื่อยๆ ที่ทรมานมาก แต่เขาก็บอกว่า มันจะเป็นการก้าวไปสู่อีกก้าวหนึ่งของการรู้จักตัวเอง
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็น่าจะลองทำดูให้รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เหมือนตอนที่เราอยากออกเดินทาง ถ้าเราไม่กล้าลอง คำถามนั้นมันก็จะติดตัวไปเรื่อยๆ ถึงแม้คำตอบที่ได้มันจะไม่เป็นอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยเราสามารถตัดตัวเลือกไปได้เรื่อยๆ ว่าอะไรเหมาะ หรือไม่เหมาะกับเรา
จากการที่เป็นคนชอบลองอะไรไปเรื่อยๆ พลอยมองเรื่องความล้มเหลวยังไง
มีคนถามเราเยอะมากว่าการล้มเหลวหน้าตาเป็นยังไง เราตอบไม่ได้ เพราะเราค่อนข้างโชคดีมากที่ไม่เคยผิดหวัง หรือเสียใจ เหมือนเราผ่านมันมาได้เรื่อยๆ อาจจะด้วยโชคของเราหรือไม่ก็อะไรสักอย่าง
เราคาดหวังว่าสักวันเราต้องเจอกับมัน เพราะกลัวว่าถ้าวันนึงเราล้มเหลวแล้ว เราจะไม่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ ไม่รู้ว่าเราควรจะเสียใจขนาดไหน
ฟังแล้วเหมือนพลอยอิจฉาคนที่ได้ล้มเหลวเลย
ใช่ เพราะรู้สึกว่าเขาได้มีโอกาสได้เรียนรู้ และช่วยให้ก้าวข้ามช่วงที่ยากลำบากไปได้