Game of Thrones กลับมาฉายซีซั่นที่ 7 ต่อแล้ว สำหรับแฟนๆ ที่ติดตามมาตลอดก็น่าจะสุขสันต์กับเนื้อเรื่องที่จะดำเนินต่อหลังจากที่รอมาอย่างยาวนาน
ส่วนคนที่ยังไม่เคยได้ดูเลยแล้วอยากคุยกับเพื่อนๆ กลุ่มที่เคยดูก็อาจจะต้องทำการ Binge-watching หรือการดูซีรีส์ (หรือหนัง) แบบมาราธอนตะลุยกันไป อย่างในกรณีของ Game of Thrones ที่ฉายมาแล้ว 6 ซีซั่น ก็ต้องใช้เวลาราวๆ 60 ชั่วโมง 59 นาที ในการรับชมซีรีส์เรื่องนี้
ถึงอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะ Binge-watching ซีรีส์ Game of Thrones นี้ เพราะบางท่านอาจจะไม่ถนัดการตามเรื่องสงครามการเมืองขนาดนี้ และอยากเสพอะไรง่ายๆ กว่านั้นหน่อย ประจวบเหมาะกับช่วงนี้ทาง Netflix เพิ่งฉาย Castlevania หรือเกม ‘แส้’ ฉบับอนิเมชั่นที่ทำมาเพื่อให้ผู้ใหญ่รับชมกันโดยเฉพาะภาพที่รุนแรงและเนื้อเรื่องที่ดักแก่เต็มที่
The MATTER จึงถือโอกาสขอแนะนำอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ที่พอจะหาดูกันแบบถูกลิขสิทธิ์ และผู้ให้บริการที่เปิดให้รับชมหลายเจ้าก็จัดคำแปลภาษาไทยไว้ให้แล้ว แถมอนิเมชั่นตอนหนึ่งนั้นใช้เวลาต่อตอนราว 22-26 นาที จึงใช้เวลาในการ Binge-watching น้อยกว่าซีรี่ส์ปกติหลายเรื่องทีเดียว แถมเนื้อหาก็มีอะไรให้เรารู้สึกเกินคาดอยู่เสมอๆ ก็เหมือนที่เราเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า การ์ตูนไม่ได้เป็นแค่เรื่องสำหรับเด็กเท่านั้นน่ะนะ
Archer
(ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 ซีซั่น และมีกำหนดฉายซีซั่นที่ 9-10 แล้ว)
สเตอร์ลิงก์ อาร์เชอร์ สายลับที่เขาว่าเป็นมือดีของ ISIS หน่วยงานสายลับของอเมริกาแห่งหนึ่ง (ไม่ใช่หน่วยงานก่อการร้ายบนโลกจริงนะ) แต่เขาก็มีบุคคลิกที่ ขี้ม่อ ขี้อวด ขี้โม้ ขี้หงุดหงิด แล้วยังแอบใช้เงินในองค์กรไปเที่ยวส่วนตัว มีปัญหากับแม่ที่เป็นผู้บังคับบัญชา แถมตัวของเขายังมีปัญหากับพนักงานร่วมองค์กรลับคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยเต็มเต็งอีก แล้วสายลับคนนี้จะปกป้องภัยจากเหล่าผู้ก่อการร้ายได้แน่เหรอ?
เห็นหน้าตาลายเส้นคมๆ เข้มๆ แบบนี้ จริงๆ แล้ว Archer เป็นซีรีส์การ์ตูนตลกแดกดันหนังแนวสายลับอย่าง 007 ที่บิดใส่มุมมองการทำงานแบบออฟฟิศมนุษย์เงินเดือนเข้าไป รวมถึงมีการข้ามไปเอาสไตล์ซีรีส์ยุค 80 แนวอื่นๆ มาใช้เล่าเรื่องในบางซีซั่น แถมยังหยิบเอาเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามเย็นบางอย่างมาบิดๆ เบี้ยวๆ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้กลายเป็นตลกหน้าตายสไตล์ฝรั่งที่ควรลองรับชมสักครั้ง
Family Guy
(ปัจจุบันกำลังฉายซีซั่นที่ 15 ในอเมริกา)
“ดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ จะมีแต่ความรุนแรงในหนัง และเซ็กส์ในทีวี แล้วค่านิยมดีๆ ที่พวกเราเคยยึดถือมันไปหายไปไหนกันหมด โชคดีที่เรามี แฟมิลี กาย โชคดีที่เรามีแต่คนที่จะทำแต่เรื่องดีๆ ที่ทำให้เราทุกคนต้องหัวเราะและร้องไห้ เขาคือ แฟมิลี กาย”
แค่เพลงเปิดก็ประชดประชันเรื่องราวของซีรีส์ตัวเองไปเสร็จสรรพแล้วกับอนิเมชั่นที่ถูกสร้างโดย Seth MacFarlane ผู้กำกับและเขียนบทของหนังหมีชั่วอย่าง Ted (‘ชั่ว’ ในทีนี้เป็นคำชม) ซึ่งเขาทำอนิเมชั่นที่เสียดสีครอบครัวอเมริกันที่แสวงหาความสำเร็จในสไตล์ครอบครัวอบอุ่น ซึ่งครอบครัวกริฟฟินตัวเอกของเรื่องก็ทำได้คล้ายๆ จะเป็นแบบนั้น แค่ทุกอย่างในเรื่องจะมีอุปัทวเหตุทำให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นทุกครั้งไป
สไตล์เรื่องถ้าพูดแล้วก็คล้ายๆ กับ The Simpsons ที่เป็นแอนิเมชั่นขวัญใจผู้ใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง จนสุดท้ายทั้งสองเรื่องก็ cross over มาพบกันแล้วครั้งหนึ่งด้วย ซึ่ง The Simpsons รวมถึง American Dad อนิเมชั่นอีกเรื่องที่ Seth ไปร่วมสร้างนั้น นี้ถ้าอยากดูในไทยอาจจะต้องเช็กตารางของช่อง Fox ไทย กันดีๆ หน่อย
Futurama
(ปัจจุบันมีทั้งหมด 7 ซีซั่น)
ตะกี้เราพูดถึง The Simpsons กันไปแล้ว และเกริ่นไปว่าในไทยอาจจะหาซีรีส์ดูแอนิเมชั่นระดับขึ้นหึ้งเรื่องดังกล่าวแบบครบถ้วนได้ยากเสียหน่อย โชคดีที่ยังมอนิเมชั่นอีกเรื่องจากทีมผู้สร้างเดียวกันอย่าง Futurama
เหตุการณ์ของ Futurama เริ่มขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งดันบังเอิญถูกจับแช่แข็งเอาไว้ในแคปซูลจนถูกปลุกชีพขึ้นอีกทีในศตวรรษที่ 30 ซึ่งโลกได้เปลี่ยนแปลงระดับที่มีสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นมาอาศัยอยู่ในโลกของเราแล้ว ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ แล้วถึงแม้จะมีความตลกอยู่ไม่น้อย Futurama ยังใส่กลิ่นอายของหนังไซไฟผจญภัยเข้าไป ทำให้เรื่องไม่ได้หยุดอยู่แค่ฉากใดฉากหนึ่งในแบบซิทคอมเรื่องอื่น
น่าเสียดายที่ตอนนี้ Futurama อยู่ในสถานะยุติการฉายและยังไม่มีใครคิดจะลงทุนทำอนิเมชั่นเรื่องนี้ต่อ ส่วนข่าวดีก็คือคนที่ยังไม่ได้ดูก็สามารถไล่ Binge-watching เรื่องนี้ได้ทันแถมเนื้อหาที่มีอยู่ในตอนนี้ก็สนุกลงตัวแบบไม่ยืดยาวเกินไปนักด้วย
Bojack Horseman
(ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ซีซั่น กับ 1 ตอนพิเศษ)
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่แก้วหน้าม้า แค่โลกสมมุติจากอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่เรื่องนี้ตีความเอาไว้ว่ามนุษย์สัตว์ก็อาศัยร่วมกับมนุษย์เรามานานนมแล้ว หรือถ้ามองอีกแง่กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีหัวเป็นสัตว์แต่ร่างกายเหมือนคนนี้อาจจะเป็นการตีความถึงมนุษย์ชนชั้นต่างๆ โดยเอาสัตว์มาเทียบเคียงก็ได้
อย่างไรก็ตามอนิเมชั่นเชิงดราม่าปนตลกร้ายเรื่องนี้ โฟกัสเรื่องไปที่ โบแจ็ค ดาราวัยกลางคนที่เคยแสดงในทีวีซีรีส์ชื่อดังในช่วงยุค 90 (ในโลกสมมุตินี้) ที่แม้ว่าปากจะบอกตัวเองปลงตกและก้าวข้ามการตกต่ำของตัวเองได้ แต่เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปจะเห็นว่าตัวเขาเองก็ก้าวข้ามความดังตัวเองไม่พ้น ทั้งยังคอยพูดจาทำร้ายตัวเองและคนใกล้ตัวเอง
กลิ่นอายของอนิเมชั่นเรื่องนี นอกจากจะกระทบชิ่งไปฝั่งวงการบันเทิงที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยแล้ว มันยังพยายามพูดคุยถึงปัญหาของผู้ใหญ่หลายคนที่ยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองเคยมี มิหนำซ้ำการวางตัวที่ทำร้ายตัวเองนี้เกิดจากการที่มีคนเคยทำร้ายจิตใจตัวเองมาก่อน แล้วตัวเองก็เอาแผลจากเรื่องในอดีตมาแพร่พิษใส่คนอื่นจนเจ็บไปด้วย
หือ… ทำไมดูเป็นปรัชญาชีวิตเครียดๆ ขึ้นมาซะงั้น
Rick & Morty
(ปัจจุบันกำลังฉายซีซั่นที่ 3 ในอเมริกา)
อนิเมชั่นไซไฟอีกเรื่องหนึ่งที่ช่วงแรกเราก็รู้สึกว่า ‘ก็แค่เรื่องป่วนๆ ที่เอาวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง’ แบบที่การ์ตูนหลายเรื่องชอบทำบ่อยๆ (นึกถึงเรื่อง ห้องทดลองของเด็กซ์เตอร์ หรือ เจ้าหนูนักประดิษฐ์ ดูนะครับ) ซึ่งช่วงแรกอนิเมชั่นเรื่องนี้เองก็เดินตามรอยการ์ตูนแนวนั้นอยู่ไหมน้อย ตัวละครปู่อย่าง ริค กับหลานที่ดูไม่ได้ความอย่าง มอร์ตี้ มาจับคู่กัน ปู่มักจะสร้างของที่พอจะช่วยเหลือชีวิตของหลานชายได้ แต่เมื่อของวิเศษเหล่านั้นก่อเหตุ ทั้งสองคนก็ต้องหาทางแก้กัน
ถ้าเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กเราก็คงจะได้เจอแก๊กว่า สุดท้ายตัวละครก็ต่างได้รับบทเรียนในการใช้ของวิเศษ แต่สำหรับเรื่องนี้นั้น ถึงหลายๆ ครั้ง มอร์ตี้ที่เป็นหลานจะได้รับบทเรียนไปบ้าง สิ่งประดิษฐ์ของ ริค คุณตาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์คลั่งนั้นก็ถึงขั้นล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์มาแล้ว แถมเรื่องราวยังซับซ้อนว่านี่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาแล้วจบบนโลกเท่านั้น มันยังกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในดาวดวงอื่น มิหนำซ้ำยังเป็นการผจญภัยข้ามพหุภพ (multiverse) ไปอีก
ก็เพราะการบิดเนื้อเรื่องที่ปกติจะจบลงอย่างสดใสมาเป็นอะไรแบบนี้ ทำให้หลายๆ คนติดอนิเมชั่นเรื่องนี้หนึบตั้งแต่แรกรับชม และเราเชื่อว่าถ้าคุณได้ดูจนถึงตอนจบซีซั่น 2 แล้วคุณจะเกิดอาการค้างคาใจไม่แพ้กับตอนที่ Game of Thrones จบฤดูกาลเลยทีเดียวล่ะ
ภาพยนตร์ของ ชินไค มาโคโตะ
(ปัจจุบันมีภาพยนตร์เรื่องยาวอยู่ 5 เรื่อง)
โอเคครับ… อันนี้ไม่ใช่ซีรีส์ออกฉายทางทีวี ที่เราหยิบผลงานเขามาพูดตรงนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะ แผ่นหนัง Your Name ฉบับญี่ปุ่นกำลังจะออกมาให้ดูกันในไม่ช้า และระหว่างที่เราเปิดแอพพลิเคชั่นรับชมหนังออนไลน์ก็พบว่าแทบทุกแอพจะมีหนังของผู้กำกับท่านนี้อย่างน้อยสักหนึ่งเรื่องให้ได้รับชมกัน
เมื่อพินิจลงไปในเนื้อหาของหนังแต่ละเรื่อง เราก็ยิ่งพบว่า หนังส่วนใหญ่ของเขาไม่ได้เป็นแนววัยรุ่นสดใสหรือเด็กน้อยไร้เดียงสา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะสัมผัสหัวใจของผู้ใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์รักมาสักครั้งแล้วเสียมากกว่า อนิเมชั่นส่วนใหญ่ของชินไค จึงมักจะจบลงแบบ ‘สมควรจะเป็น’ มากกว่าที่จะจบแบบ ‘แฮปปี้เอนดิ้ง’ หรือถ้ามองว่ามันเป็นฉากจบที่มีความสุขเพื่อให้ชีวิตได้เดินต่อไปอย่างมั่นคงก็อาจจะไม่ผิดนัก
และต่อให้ไม่เข้าใจว่าผู้กำกับนั้นอยากบอกอะไรกับเรา งานภาพที่สวยงามก็เหมาะที่จะใช้เวลา Binge-watching สักครั้ง
แอบเสียดายอยู่เล็กน้อยที่อนิเมชั่นหลายๆ เรื่องที่เราอยากพูดถึงอย่าง South Park, Gravity Falls หรือ Avatar และ Legend Of Korra ถูกบล็อคไว้ไม่ให้รับชม หรือถูกถอดออกไปจากแอพต่างๆ ด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ แต่แค่อนิเมชั่นที่เราพูดถึงด้านบนนี้ก็สามารถริดรอนเวลาส่วนตัวไปโขแล้ว ก็ระวังอย่าให้เสียงานเสียการกันนะครับ