งานหนังสือวนเวียนกันมาอีกครั้ง โปรดกำตังค์ให้แน่น แล้ววิ่งสู่กองหนังสือที่แต่ละสำนักพิมพ์ขนมาล่อตาล่อใจเราให้ล้มละลายกันไปข้าง!
การซื้อหนังสือมาเก็บไว้ จะอ่านหรือจะดองยังไง ก็ช่วยให้ใครบางคนมีความสุขได้เสมอ ในปีนี้ แต่ละสำนักพิมพ์เขามีทีเด็ด หมัดหนักอะไรที่จะส่งหนังสือทั้งที่ออกใหม่ หรือหนังสือตีพิมพ์ใหม่ที่เปลี่ยนปกให้หน้าซื้อมาไว้ในครองครองยังไงบ้างนะ
The MATTER ไปชวนบรรณาธิการหลายๆ สำนักพิมพ์ มาแนะนำหนังสือออกใหม่ในปีนี้ จะมีอะไรบ้าง จะเป็นยังไง จะชวนให้ล้มละลายกันมั้ย ไปลองแวะดูกันก่อน แล้วใครชอบเล่มไหน ไปมาแล้วอยากแนะนำให้ซื้ออะไร มาคุยกันได้นะ
ฟ้าเดียวกัน
ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี: การเมืองไทยภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา 2491-2500 / ณัฐพล ใจจริง
หนังสือเล่มนี้หักล้างความเชื่อผิดๆ ที่แพร่หลายในสังคมไทยมานาน พร้อมทั้งให้ข้อคิดแก่ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยร่วมสมัย อาทิ
- ความเชื่อที่ว่าสถาบันกษัตริย์อยู่ ‘เหนือ’ การเมืองในความหมายว่ามิได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้อมูลจากการค้นคว้าของผู้เขียนแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายเป็น ‘ผู้เล่น’ ผู้กระทำการทางการเมืองอย่างยิ่งยวด
- ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจ ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าในทศวรรษ 2490 หรือช่วงต้นของสงครามเย็น ไทยเข้าสู่ภาวะกึ่งอาณานิคมของสหรัฐฯ ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อความเป็นไปทางการเมืองของไทยอย่างสูง และการที่สหรัฐฯ เลือกเข้าข้างสถาบันฯ และเครือข่ายเพื่อใช้ประโยชน์ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์นั้นนับเป็นจุดพลิกผันของการเมืองไทยที่ทิ้งมรดกตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน
- ความขัดแย้งกันเองของคณะราษฎรปีกจอมพล ป. พิบูลสงคราม กับปีกปรีดี พนมยงค์ ในที่สุดทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนกำลังลงจนพ่ายแพ้ ไม่สามารถต้านทานการรุกกลับของฝ่ายนิยมเจ้า ซึ่งพร้อมจะใช้ทุกวิถีทางในการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง แม้กระทั่งกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ
- รัฐธรรมนูญเป็นพื้นที่ช่วงชิงอำนาจที่มีความสำคัญยิ่งตลอดมา และเป็นสนามที่สถาบันกษัตริย์และเครือข่ายทุ่มเทพลังสติปัญญาอย่างเต็มที่เพื่อกำหนดกติกาที่เอื้อประโยชน์กับฝ่ายตน
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ : วิวัฒนาการรัฐไทย / กุลลดา เกษบุญชู มี้ด
หนังสือเล่มนี้ไม่แค่สั่นสะเทือนวงวิชาการไทยศึกษาแต่ยังท้าทายทฤษฎีระดับโลก ผู้เขียนวิพากษ์ทฤษฎี ‘สงครามสร้างรัฐ’ แล้วนำเสนอทฤษฎีใหม่คือ ‘เศรษฐกิจโลกสร้างรัฐ’ โดยศึกษาการก่อรูปของรัฐไทยในศตวรรษที่ 19 ช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัฐศักดินามาเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนมาถึงรัฐชาติสมัยใหม่
งานชิ้นนี้ยังอ่านสนุกตื่นตาตื่นใจเพราะอัดแน่นด้วยข้อมูลชั้นต้นแบบที่นักเรียนประวัติศาสตร์น้อยคนจะค้นคว้าได้เช่นนี้ เราจะได้เห็นปฐมบทจนถึงปัจฉิมบทของการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างมีชีวิตชีวา ทั้งการต่อสู้ห้ำหั่นของกลุ่มอำนาจสามฝ่าย (สยามเก่า สยามอนุรักษ์ สยามหนุ่ม) และชัยชนะของรัชกาลที่ 5 การฟูมฟักชนชั้นนำผ่านระบบการศึกษา การสร้างระบบราชการสมัยใหม่ที่กลายเป็นระบบกลืนกินตัวเอง เพราะ ‘กระฎุมพีราชการ’ ซึ่งเป็นสามัญชนมีการศึกษาที่ไต่เต้าเข้าสู่ระบบราชการด้วยความสามารถของตนเอง จะกลายเป็นพลังบ่อนทำลายพระราชอำนาจและทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงกาลล่มสลาย เราจะได้เห็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของการปกป้องระบอบนี้ไว้ เช่นการตั้งกองเสือป่าของรัชกาลที่ 6ไปจนการเผชิญหน้ากับการท้าทายครั้งแรกของคณะผู้ก่อการกบฏ ร.ศ. 130
ที่อยากแนะนำเล่มนี้ เพราะปรากฏการณ์การเกิดครั้งที่สามของคณะราษฎรทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ล่มสลายไปแล้วนั้น ชิ้นส่วนกลไกของระบอบกลับดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทำไมอุดมการณ์กษัตริย์นิยมถึงลงหลักปักฐานลงกับอุดมการณ์ชาติศาสน์กษัตริย์อย่างแนบแน่น การกลับไปอ่านหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราขบคิดได้เปลาะหนึ่ง
เหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คือ เมื่อไม่นานมานี้มีปรากฏการณ์ที่ทำให้เราตื่นตกใจ คือการฟื้นคืนชีพของหนังสือวิชาการไทยศึกษาเชิงวิพากษ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือเล่มนี้ ยืนยันได้จากผลสำรวจการอ่านในม็อบนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์วิวัฒนาการรัฐไทย ของกุลลดา เกษบุญชู มี้ด เป็นหนังสือที่นักเรียนนักศึกษาพูดถึงมากที่สุดเพราะมันเป็นหนังสือที่เปิดโลกให้พวกเขาได้เห็นประวัติศาสตร์อีกแบบหนึ่งของการสร้างระบบราชการบทบาทของสถาบันกษัตริย์และผลกระทบจากการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่
การที่เยาวชนคนหนุ่มสาวในศตวรรษที่ 21 กลับไปอ่าน(ใหม่)เหตุการณ์ที่เกิดในศตวรรษที่ 19เพื่อทำความเข้าใจระบอบการเมืองที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าหนังสือวิชาการคลาสสิกที่น่าจะยืนอยู่บนหิ้งเล่มนี้ ได้เกิดใหม่อีกครั้งกลายเป็นหนังสือที่ไม่แค่น่าอ่านแต่จำเป็น ‘ต้องอ่าน’ อย่างยิ่งในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เราต่างวาดหวังกันว่า “ให้มันจบที่รุ่นเรา”
6 ตุลาลืมไม่ได้จำไม่ลง / ธงชัย วินิจจะกูล
ผู้เขียนนำเสนอเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ผ่านความทรงจำของตนเองในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรงและความทรงจำแบบอิหลักอิเหลื่อที่ ‘ลืมไม่ได้’ แต่ก็ ‘จำไม่ลง’ ของสังคมไทยต่อเหตุการณ์ครั้งนี้เราจะเห็นความพยายามในการ ‘จัดการกับความทรงจำ’ ในบทหนึ่งของหนังสือที่ผู้เขียนได้ย้อนกลับไปสัมภาษณ์บรรดาฝ่ายขวาซึ่งเป็นผู้กระทำการในวันนั้นว่าแต่ละคนมีท่าทีต่อสิ่งที่ตนกระทำอย่างไรบ้าง ใครบางคนอาจรู้สึกละอายต่อสิ่งที่เคยกระทำจนขอร้องให้ลืมเสีย หรือใครบางคนก็ยังคงเชื่อว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นเป็นสิ่งที่สมควรต้องทำและไม่ใช่เรื่องที่ผิด
นี่อาจจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไม่กี่เล่มที่ผู้ถูกกระทำและผู้กระทำในเหตุการณ์เดียวกันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง แม้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงในหนนั้นจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหนังสือเล่มนี้ย่อมต้องมีอคติในการนำเสนอของผู้เขียนแต่คุณูปการของหนังสือเล่มนี้คือความพยายามของผู้เขียนในการตามหาและรวบรวมรายชื่อเอกสารชั้นต้นที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลาซึ่งยากแก่การเข้าถึงมาไว้ในเล่มเพื่อเป็นหมุดหมายเริ่มต้นสำหรับผู้ที่สนใจและอยากศึกษาเหตุการณ์ 6 ตุลาแบบละเอียด
ที่อยากแนะนำเล่มนี้เพราะช่วงนี้กระแสตื่นตัวทางการเมืองของนักเรียน นิสิตนักศึกษาค่อนข้างมากบวกกับช่วงนี้ตรงกับเดือนตุลาซึ่งมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญๆในอดีตเกิดขึ้นมากบางคนไม่เคยรู้เรื่องเหตุการณ์ 6 ตุลามาก่อนกระทั่งจำสับสนกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 กลายเป็นเหตุการณ์ 16 ตุลาไปเราไม่กล้าบอกว่าหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเข้าใจเหตุการณ์ 6 ตุลาอย่างทะลุปรุโปร่งเพราะหนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นการนำเสนอความทรงจำเกี่ยวกับ 6 ตุลาในอีกด้านหนึ่งเท่านั้นแต่ค่อนข้างแน่ใจว่าหากใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องเกิดข้อสงสัยกับประวัติศาสตร์ที่เคยผ่านหูผ่านตาในตำราเรียนว่าทำไมจึงแตกต่างจากการบอกเล่าของธงชัยซึ่งเป็นผู้เขียนและเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาโดยตรงและนี่อาจจะเป็นความฝันที่อยากให้ทุกคนและทุกฟากฝั่งในสังคมได้อ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อช่วยกันขบคิดว่าจะขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างไรโดยไม่เกิดความรุนแรงแบบที่เคยเกิดขึ้นหลายๆครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ไทยและไม่ปล่อยให้ความอิหลักอิเหลื่อแบบนี้เกิดขึ้นได้อีก
SALT
พวกฉัน พวกมัน พวกเรา (Moral Tribes) — Joshua Greene / แปลโดย วิสาลินี ฤกษ์ปฏิมา เดอเบส
“ความขัดแย้ง” หนึ่งในปัญหาที่ทุกสังคมต้องเจอ ปัจจุบันที่คนทุกกลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกัน แน่นอนว่าการแบ่ง “พวกฉัน” และ “พวกมัน” ด้วยค่านิยมที่ต่างกันชัดเจนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และการแบ่งพรรคพวกด้วยความแตกต่างนั้น ทำให้เราต้องมาฟาดฟันกันเอง เราทะเลาะกันได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จนบางครั้งความขัดแย้งนี้นำมาซึ่งเลือดเนื้อและชีวิตที่สูญเสียไป
ทำให้เราตั้งคำถามว่า จะเป็นไปได้ไหม ที่จะเราค้นพบจุดที่จะเข้าใจตรงกันในทุกๆ เรื่อง?
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวมตัวกันของประสาทวิทยา จิตวิทยา และปรัชญา โดยเปิดเผยทั้งต้นตอปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันและหนทางที่เราควรจะไปต่อ เราจะเข้ากับ พวกเขา ได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการมันขัดแย้งรุนแรงกับ พวกเรา และวิธีใดที่จะช่วยนำทางเราผ่านมุมมองศีลธรรมของโลกปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและให้ดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
เศรษฐศาสตร์ความจน (Poor Economics) — Abhijit V. Banerjee และ Esther Duflo / แปลโดย ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์
มายาคติมากมายที่ครอบความคิดเราที่มีต่อ ‘ความจน’ และ ‘คนจน’ ว่าคนจนต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รวมถึงนโยบายต่างๆ ที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือคนจน ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการมองคนจนจากบนลงล่าง ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทำให้การแก้ปัญหาไม่ตรงจุดเท่าที่ควร แล้วทำเราจะทำอย่างไรให้คนจนสามารถก้าวผ่านความจนไปได้?
มายาคติเหล่านี้อาจเกิดจากการที่เรายังไม่ได้ทำความเข้าใจพวกเขาดีพอ…
อภิชิต เบเนอร์จี และ เอสแตร์ ดูโฟล สองนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2019 ที่ได้ลงพื้นที่ไปทำงานกับคนจนทั่วโลก นำงานวิจัยทั้งของพวกเขาเองและของนักวิจัยคนอื่นๆ มาร้อยเรียงเป็นหนังสือ “เศรษฐศาสตร์ความจน” ผ่านการคิดวิเคราะห์ หลักฐานเชิงประจักษ์ และการทดลองที่รัดกุม เพื่อทำความเข้าใจตั้งแต่เรื่องแรงจูงใจ พฤติกรรม ไปจนถึงการตัดสินใจของคนจนต่อเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ดำเนินนโยบาย เป็นนักการเมือง หรือเป็นคนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับธุรกิจใดเลยก็ตาม บทเรียนจากทั่วโลกโดยนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลนี้ จะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจวิธีคิด วิธีมองโลกของคนจนมากขึ้น และจะไม่ตกอยู่ภายใต้มายาคติที่บังตาเกี่ยวกับความจนอีกต่อไป
“เศรษฐศาสตร์ความจน” จะทำให้คุณเข้าอกเข้าใจคนจน แรงจูงใจ และพฤติกรรมของคนจนอย่างแท้จริง
การเงินคนจน (The Poor and Their Money) — Stuart Rutherford และ Sukhwinder Arora / แปลโดย สฤณี อาชวานันทกุล
เป็นเรื่องธรรมดาถ้าเราจะคิดว่า คนจนหมายถึงคนที่ไม่ค่อยมีเงิน แปลว่าไม่น่าจะจำเป็นต้องคิดมากเรื่องการจัดการเงิน เพราะไม่ค่อยมีเงินให้จัดการ แต่ข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้าม เพราะยิ่งมีเงินน้อย ยิ่งต้องการการดูแลและจัดการเงินมากเป็นพิเศษ
สจวร์ต รัทเทอร์ฟอร์ด นักวิจัย ที่ปรึกษา และผู้ประกอบการด้านไมโครไฟแนนซ์ (microfinance ในไทยนิยมแปลว่า “การเงินขนาดจิ๋ว” หรือ“การเงินฐานราก”) ผู้คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าสี่ทศวรรษ ร่วมกับ สุขวินเดอร์ อาโรรา เพื่อนคู่คิดของเขา เขียนหนังสือ การเงินคนจน เล่มนี้ขึ้นมาอธิบายอย่างแจ่มชัดเข้าใจง่ายว่า การจัดการเงินนั้นจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนจน เพราะพวกเขามีความจำเป็นต้องแปลงเงินออมให้เป็นเงินก้อนโตที่มีประโยชน์ เพื่อใช้จ่ายในวันนี้หรือในอนาคต
ไมโครไฟแนนซ์ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ชวนให้เราตั้งคำถามว่าการออกแบบบริการทางการเงินเหล่านี้ เป็นการออกแบบเพื่อคนจนจริงๆ หรือเปล่า?
“การเงินคนจน” จะทำให้คุณเข้าใจและพฤติกรรมและความต้องการทางการเงินของคนจนอย่างแท้จริง
Salmon Books
UNTITLED CASE: HUMAN HORROR ชมรมคนหัวลุก — ยชญ์ บรรพพงศ์ และ ธัญวัฒน์ อิพภูดม
หนังสือเล่มนี้คือการรวบรวมเรื่องราวของกลุ่มมนุษย์ที่มีพฤติกรรมชวนสงสัย คัดสรรโดย ‘ยชญ์ บรรพพงศ์’ และ ‘ธัญวัฒน์ อิพภูดม’ สองนักเล่าเรื่องผู้เสพติดความลี้ลับจาก Untitled Case รายการพ็อดแคสต์ว่าเหตุฆาตกรรม และคดีที่ยังไขปริศนาไม่ได้ ทำให้ภายในเล่มจะประกอบไปด้วยเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนเพราะเสียงแว่วในหู, คนที่พบเจอเหตุการณ์ประหลาดในโรงแรมที่สหรัฐฯ, เรื่องราวของผู้นำลัทธิที่พาผู้คนอพยพไปสร้างอาณาจักรอยู่ต่างบ้านต่างเมือง, การปรากฏตัวของชายชุดดำที่ไม่ใช่แบบในหนังฮอลลีวูด ไปจนถึงหลายสารพัดเหตุการณ์ของผู้คนที่จะทำให้คุณเห็นความเป็นคนในมิติอื่นๆ ที่อาจชวนขนหัวลุก และอาจชวนให้เราระวังตัวจากคนแปลกหน้ามากขึ้น
เสมอมา-ตลอดไป — จักรพันธุ์ ขวัญมงคล
รวมเรื่องสั้นที่ได้แรงบันดาลใจไม่มากก็น้อยจากสภาพสังคมและการเมืองไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลงานล่าสุดของ ‘จักรพันธุ์ ขวัญมงคล’ ประกอบไปด้วยเหตุการณ์ที่เราอาจเคยผ่านตาอย่างการปฏิวัติ, การไปม็อบของคนหลากกลุ่ม, การไปเยี่ยมเยียนประชาชนของผู้มีอำนาจ รวมถึงการหายไปอย่างปริศนาของหมุด เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกเล่าผ่านตัวละครที่ชีวิตของพวกเขาได้รับผลกระทบ กลายเป็นเรื่องราวของความรักในห้วงปฏิวัติ และความสัมพันธ์ที่จะทำให้เห็นว่าชีวิตของพวกเราถูกผูกติดอยู่กับเหตุบ้านการเมืองขนาดไหน
SONGSTRUCK ทุกเพลงที่ได้ฟัง… ยังคงนึกถึงคุณ — อุทิศ เหมะมูล
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ฟังบางบทเพลงแล้วคิดถึงใครบางคน เราอยากแนะนำ 24 ความเรียงบรรเลงความเศร้าของ ‘อุทิศ เหมะมูล’ ซึ่งเล่าเรื่องราวว่าด้วยความทรงจำที่ซุกซ่อนอยู่ในบทเพลงของวงดนตรีอย่าง Cigarettes After Sex, New Order หรือ Slowdive ต่อให้เป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านประสบการณ์ส่วนตัว แต่ด้วยเหตุการณ์และห้วงอารมณ์ของความสุข ความเศร้า และความผิดหวังที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เราก็เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะนำเรื่องราวของตัวเองไปเทียบเคียงได้ไม่ยาก
Bookscape
Designing Your Work Life: คู่มือออกแบบชีวิตที่ใช่-งานที่ชอบ ด้วย Design Thinking — Bill Burnett & Dave Evans / แปลโดย นรา สุภัคโรจน์
คุณเป็นหนึ่งใน 85 เปอร์เซ็นต์ของคนทำงานทั่วโลกที่ทำงานอย่าง ‘ไร้สุข’ อยู่หรือเปล่า? คุณเฝ้ารอให้ถึงวันศุกร์ และเกลียดวันจันทร์เป็นที่สุดใช่ไหม? คุณไม่มีความสุขกับงาน เหลือทนกับเจ้านาย รู้สึกว่างานไร้ความหมาย และคิดว่าการลาออกคือคำตอบใช่หรือไม่? หนังสือเล่มนี้จะบอกคุณว่า อย่าเพิ่งลาออก มาออกแบบงานกันใหม่ดีกว่า!
ผลงานใหม่จากผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง Designing Your Life ชวนเหล่าคนทำงานมาออกแบบชีวิต-การงานที่ปรารถนา ด้วยวิธีคิดอย่างนักออกแบบ หรือ Design Thinking เจาะลึกสารพัดปัญหาที่คนทำงานต้องเจอ ทั้งปัญหางานล้นมือ การเมืองในที่ทำงาน วิธีลาออกอย่างสร้างสรรค์ และการสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับงานแห่งอนาคต ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร พนักงาน หรือคนทำงานอิสระ นี่คือหนังสือที่คุณไม่ควรพลาด!
ผู้หญิง | อำนาจ — Mary Beard / แปลโดย นราวัลลภ์ ปฐมวัฒน
ไม่ใช่แค่คุณที่สงสัยว่าทำไมเวลาพูดถึง ‘อำนาจ’ ภาพและเสียงที่เรานึกถึงจึงไม่ใช่ภาพเพศหญิงที่ส่วนใหญ่แล้วมีเสียงแหลมเล็ก นี่คือสิ่งที่ติดอยู่ในใจ แมรี เบียร์ด นักประวัติศาสตร์ด้านอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และเธออาสาไขข้อกังขานี้ พร้อมพาเราย้อนกลับไปสืบค้นรากเหง้าความคิดและวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดที่ทำให้ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายเงียบเสียง ไล่ตั้งแต่อดีตอย่างมหากาพย์โอดิสซี งานศิลปะและประติมากรรมชิ้นเอก ไปจนถึงกระแส #MeToo ซึ่งผู้หญิงทั่วโลกลุกขึ้นมาเปิดเผยเรื่องการข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศ หนึ่งในความท้าทายโครงสร้างอำนาจที่กดทับพวกเธอมานานหลายพันปี
ถ้อยแถลงในหนังสือขนาดกะทัดรัดเล่มนี้ชวนให้เราขบคิดและหันมานิยาม ‘อำนาจ’ กันเสียใหม่ เพราะสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคืออำนาจ หาใช่ผู้หญิง!
โง่ศาสตร์: กฎพื้นฐานว่าด้วยความโง่เขลา — Carlo M. Cipolla / แปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
“คนโง่เป็นคนประเภทที่อันตรายที่สุด” หลายคนอาจขมวดคิ้วสงสัยเมื่อได้ยินประโยคนี้ คนโง่ที่ดูไม่มีพิษมีภัยจะอันตรายขนาดไหนกันเชียว? แต่ข้อเขียนเชิงเศรษฐศาสตร์สุดแสบเล่มนี้จะพาไปรู้จักกับกฎพื้นฐาน 5 ประการของความโง่เขลา และปรากฏการณ์คนโง่ป่วนโลกที่เป็นมหันตภัยของมวลมนุษยชาติ คอยก่อกวนความสงบสุขอยู่รอบตัวเราโดยไร้ระเบียบแบบแผนและไร้เหตุผล ตั้งแต่ในกรุ๊ปไลน์ครอบครัว ห้องประชุมออฟฟิศ โซเชียลมีเดีย แม้กระทั่งบนเก้าอี้ผู้นำประเทศ!
นี่คือหนังสือ ‘Cult Classic’ อันแสบสันที่จะทำให้เราทั้งขันและขื่นไปพร้อมกัน ท่ามกลางสมรภูมิแห่งความโง่ หนังสือเล่มนี้จะเป็นมีดดาบและเกราะกำบังที่ปกป้องทุกท่านจากศัตรูผู้โง่งม เพื่อนนักรบผู้โง่เขลา และที่เลวร้ายที่สุด – แม่ทัพผู้โง่บรม
Library House
มือสังหารบอด (The Blind Assassin) — มาร์กาเร็ต แอ็ตวูด / แปลโดย นันทพร ปีเลย์ โพธารามิก
นวนิยายสัญชาติแคนาดา ผลงานของผู้เขียน เรื่องเล่าของสาวรับใช้ (The Handmaid’s Tale) เจ้าของรางวัลทางวรรณกรรมระดับโลกมากมาย อาทิ The Man Booker Prize ว่าด้วยเรื่องของสองสาวพี่น้อง ไอริสกับลอรา ผู้เติบโตในครอบครัวนักธุรกิจผู้ดีเก่า ผ่านร้อนผ่านหนาวตั้งแต่ยุครุ่งเรืองจนถึงวันล่มสลาย แทรกด้วยนวนิยาย ‘มือสังหารบอด’ ทับซ้อนไปมา ผลงานระดับมหากาพย์ที่นักอ่านจำนวนมากยกให้เป็นงานเขียนชิ้นเอกของแอ็ตวูด
โอลก้า (Olga) — แบร์นฮาร์ด ชลิงค์ / แปลโดย เจนจิรา เสรีโยธิน
นวนิยายสัญชาติเยอรมัน ผลงานของผู้เขียน เดอะ รีดเดอร์ (The Reader) ที่เคยสร้างปรากฎการณ์ยอดขายถล่มทลายและถูกนำไปผลิตเป็นภาพยนตร์ ชลิงค์กลับมาอีกครั้งกับเรื่องของ โอลก้า เด็กสาวและหญิงชราผู้ซื่อตรงกับความรักและยึดมั่นกับอุดมการณ์ของตน ด้วยท่วงทำนองภาษาเล่าเรื่องแสนละเมียดละไม ชาญฉลาด และกินใจ ตอนนี้ลิขสิทธิ์ต้นฉบับภาษาเยอรมันมีการแปลเป็นภาษาต่างๆ รวมทั้งภาษาไทยมากกว่า 20 ภาษาทั่วโลก
บทเพลงโศกแห่งคาเฟ่แสนเศร้า (The Ballad of the Sad Café) — คาร์สัน แม็คคัลเลอร์ส / แปลโดย จุฑามาศ แอนเนียน
นวนิยายขนาดสั้นสัญชาติอเมริกันเล่มนี้กลายเป็นหนังสือเล่มโปรดของนักอ่านจำนวนมาก การนำกลับมาพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 จึงถือโอกาสเปลี่ยนปกใหม่เพื่อให้ทุกคนได้เข้าไปดื่มด่ำกับรสหวานขื่นขมของความเหงา ที่มิสอมีเลียและชายค่อมเคยส่งผ่านมาให้ได้สัมผัสกันแล้ว หากใครเคยเป็นผู้รักและผู้ถูกรัก แต่ยังไม่เคยรู้จักคาเฟ่แห่งนี้ นี่เป็นโอกาสดีที่เราขอเชิญชวน
สำนักพิมพ์ มติชน
Soft Power — นิ้วกลม
เรื่องราวของเฌอปราง อารีย์กุล เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก จากการที่วง BNK48 ก่อตั้งขึ้นจนมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศและระดับเอเชีย ซึ่งระบบ 48G เป็นระบบที่หล่อหลอมความเป็นมนุษย์เข้าด้วยกัน มีความอ่อนโยน สนุกสนาน ทีมเวิร์ค ที่สำคุญคือการแข่งขัน หญิงสาวผู้ยืนหนึ่งในวงอย่างกัปตันเฌอปราง ย่อมมีความพิเศษอยู่ในตัวเอง
หนังสือเล่มนี้จะเปิดเผยถึงการเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพล Soft Power จากญี่ปุ่น หล่อหลอมตัวตน ผ่านสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทั้งครอบครัว และการศึกษา หากเราได้อ่านเรื่องราวภายในเล่มจะรับรู้ได้เลยว่า เฌอปรางไม่ได้เพอร์เฟคอย่างที่หลายคนคิด เธอมีอีกหลายด้านที่ขาดตกบกพร่อง แต่แล้วยังไงล่ะ เธอก็คือหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความมุ่งมั่น วินัย มีแพชชั่นในการไล่ตามความฝันของตัวเองให้ถึงที่สุด ซึ่งเรื่องราวของเธอน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ที่ยังมีความฝัน ความหวังที่จะทำให้ฝันเป็นจริง และที่สำคัญน่าจะเป็นคู่มือให้กับผู้ใหญ่ที่ทำความเข้าใจในความเป็นไปของเด็กคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี
ประวัติศาสตร์อยุธยา ห้าศตวรรษสู่โลกใหม่ — คริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร
หนังสือเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรอยุธยามีอยู่มากมายในท้องตลาด แต่หากจะกวาดตามองแล้วจัดหมวดหมู่ดูให้ดีจะพบว่ายังไม่มีหนังสือเล่มใดที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์อยุธยาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งคำว่าครบถ้วนนั้นหมายรวมถึงบริบทของช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดเป็นอาณาจักรอยุธยา จนกระทั่งกรุงแตก และย้ายเมืองหลวง
คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร ใช้ข้อมูลหลักฐานอย่างรอบด้าน ทั้งเอกสารชั้นต้นภาษาไทย เอเชีย และตะวันตก รวมถึงข้อมูลด้านโบราณคดี พาให้เราไปรู้จักสังคมอยุธยาอย่างรอบด้าน ซึ่งมีความสลับซับซ้อน แต่ละช่วงเวลาในสมัยอยุธยามีปฏิกิริยาส่งผลต่อกันเสมือนคลื่นลูกเล็กใหญ่เสมอ ที่สำคัญที่สุดทำให้เราเห็นพัฒนาการของความเป็นมนุษย์ที่มีการรวมกลุ่มกัน หากิน ก่อตั้งชุมชน จนเกิดเป็นเมือง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วกลุ่มคนนี่แหละที่สร้างเมือง มิใช่ปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด
Midnight’s Children — Salman Rushdie
อย่าได้คาดหวังความมินิมอลจาก ซัลมาน รัชดี โดยเฉพาะกับ Midnight’s Children เพราะหนังสือเล่มนี้เรียกร้องความสนใจจากผู้อ่านมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้ ไม่ว่าคนที่เคยอ่านงานของรัชดีมาบ้างหรือคนที่คิดจะเริ่มอ่านเจ้าเล่มระดับตำนานนี้ก่อน (ได้รับรางวัล Booker และน่าจะป๊อปที่สุดในบรรดาผลงานของผู้เขียนเอง) เพื่อทำความรู้จักชื่อชั้นของมัน เราบอกได้เลยว่าต่อให้คุณจะชอบมากหรือชอบน้อย แต่ยังไงคุณคงจะต้องนับถือชั้นเชิงความเจนสนามของรัชดี คุณจะเห็นว่าในความเป็น realistic ซ่อนเสน่ห์แบบ magic ไว้ และในความเสมือนจะ magical ของมันก็แฝงความ real ที่เจ็บแสบไม่แพ้กัน นอกจากประวัติศาสตร์ผันผวนของอินเดียตั้งแต่ได้รับเอกราช คุณจะได้เห็น “ตัวอย่าง” ชะตาชีวิตประชาชนหรืออีกนัยก็คือ “ทายาทแห่งยามเที่ยงคืน” กระจกที่สะท้อนคืนมืดแห่งอนุทวีปนี้
Bunbooks
I’m ทราย Thank you — อินทิรา เจริญปุระ
เล่มนี้เป็นการรวมเล่มจากรายการพอดแคสต์ I’m ทราย Thank you ของทราย เจริญปุระ โดยเราเลือกจากเอพิโสดที่คำถามและคำตอบน่าสนใจ และคิดว่าไม่ควรปล่อยให้มันอยู่แต่ในรายการพอดแคสต์เพราะสิ่งที่คนถามเข้ามาและสิ่งที่พี่ทรายตอบออกไป มันค่อนข้างมีประโยชน์ในวงกว้าง เช่น เรื่องขอบเขตของความกตัญญู การอยู่ร่วมกับคนที่เห็นต่างทางการเมือง หรืออย่างเรื่องการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท ฯลฯ
สำหรับคนที่เคยฟังรายการมาก่อนแล้ว ถ้ากลับมาอ่านอีกครั้งก็เหมือนได้ recap สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญๆของเอพิโสดนั้นๆ อีกรอบ
วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน — พลอยไพลิน ตั้งประภาพร
เล่มนี้เป็นหนังสือของปีที่แล้ว (2562) แต่ว่ายังได้รับความสนใจเรื่อยมา จนตอนนี้เพิ่งทำการพิมพ์ครั้งที่ 3 ไป พร้อมกับเปลี่ยนปกใหม่
บางคนบอกว่าหนังสือบันทึกการเดินทางมันต้องอ่านให้เร็วที่สุด เพราะข้อมูลมันไม่ timeless แต่เราลองเอากลับมาอ่านอีกครั้งก็พบว่ายังรู้สึกสนุกกับมันได้อยู่ เพราะเล่มนี้ถึงแม้จะเป็นบันทึกการเดินทาง แต่สิ่งที่นักเขียนต้องการนำเสนอ ไม่ใช่เรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นแรงบันดาลใจในการลุกออกไปทำอะไรสักอย่าง ความ timeless น่าจะหมายถึงอะไรอย่างนี้
MY LITTLE KITCHEN (1-3) — pittmomo
จริงๆ ช่วงนี้นักเขียนกำลังทำต้นฉบับเล่มที่สี่ ซึ่งน่าจะเป็นเล่มสุดท้ายของซีรีส์ครัวบ้านบ้านแล้ว ก็เลยอยากหยิบเล่มที่ 1-3 มาแนะนำอีกรอบ
เรื่องราวของอาหารและวัตถุดิบพื้นบ้าน ที่เล่าผ่านมุมมองของตัวละครพิช—เด็กสาวชาวเหนือที่ล้มเลิกการทำตามความฝันในกรุงเทพฯ แล้วเก็บกระเป๋ากลับบ้านที่ต่างจังหวัด จนได้พบว่าสิ่งที่น่าสนใจในวิถีชีวิตของตัวเองก็คือ อาหารพื้นบ้านที่เกี่ยวโยงกับฤดูกาลต่างๆ
ความจริงเนื้อหาแต่ละเล่มไม่ได้ต่อเนื่องถึงขนาดที่ขาดเล่มใดไม่ได้ แต่ก็สอดคล้องด้วยตัวละคร วิถีการดำเนินชีวิต และร้อยเรียงไปตามฤดูกาล เพราะฉะนั้น อ่านให้ครบทุกเล่มดีที่สุด