คนสองคนกำลังหายไปจากชีวิตเธอพร้อมๆ กัน
ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ ใครสักคนที่เคยผูกพันถูกลบหายไปจากชีวิต ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา และที่แย่ไปกว่านั้น คือคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงหายไป ถึงแม้ภาพของพวกเขาในความทรงจำจะยังคงอยู่ไม่หายไป ทว่าในชีวิตจริงพวกเขากลับเลือนหาย เหลือไว้แค่ความว่างเปล่า และมีเพียงเราที่ยังคงอยู่ตรงนั้น
วันดีคืนดีก็ปรากฏตัว พอถึงจุดหนึ่งก็หายตัวไปโดยไม่บอกกล่าว นี่ไม่ใช่ผีที่เป็นคำนาม แต่เป็นผีที่เป็นคำกริยา หรือ ‘ghosting’ ซึ่งหมายถึง การหายไปหรือขาดการติดต่อกับใครสักคนอย่างกระทันหัน โดยไม่มีแม้แต่คำเตือนหรือคำอธิบายให้อีกฝ่ายรับรู้ล่วงหน้า
อย่างใน ‘Ghosts’ นวนิยายเรื่องแรกของ ดอลลี อัลเดอร์ตัน (Dolly Alderton) เล่าถึง ‘นีนา ดีน’ สาวผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยสามสิบอย่างสดใส ชีวิตในวัยเปลี่ยนผ่านของเธอ รุ่งโรจน์ไร้ที่ติในทุกด้าน ทั้งหน้าที่การงาน ฐานะ ครอบครัว และเพื่อนฝูง เว้นเสียแต่เรื่องความรัก การเป็นโสดในวัยสามสิบดันเป็นเรื่องที่ยากและค่อนข้างท้าทายสำหรับเธอ เพราะเพื่อนหลายคนเริ่มสร้างครอบครัวและมีลูกกันไปแล้ว กระทั่งวันหนึ่ง หลังจากที่เธอโหลดแอปฯ หาคู่ แล้วได้พบกับ ‘แม็กซ์’ หนุ่มหล่อผู้มากไปด้วยเสน่ห์ ความรักที่เริ่มผลิบาน กลับร่วงโรย เมื่อแม็กซ์หายตัวไป อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทิ้งให้เธอต้องเผชิญกับปัญหาคาราคาซังมากมายเพียงลำพัง
*เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของหนังสือ Ghosts*
ถึงรักแต่ก็หลอก
แน่นอนว่า เมื่อถึงชีวิตวัย 30 เราต่างก็ต้องคาดหวังที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆ เรื่องของชีวิตนีนา ดีนเองก็เช่นกัน เธอผลักดันตัวเองจนมาอยู่ในจุดที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง จนคนวัย 30 ด้วยกันก็ยังต้องอิจฉา ทว่าการโคจรมาเจอกับแม็กซ์กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเธอไปเลย
ในฐานะสาววัยกำลังย่างเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็คงไม่เคยคิดว่า ผู้ชายที่เคยพูดว่ารัก มีความผูกพันแนบแน่น ถึงขั้นเอ่ยปากอยากแต่งงาน จะหายตัวไปเฉยๆ โดยไม่มีคำลา เหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่นีนา ดีนต้องเจอกับการถูก ghosting ความรู้สึกมันเหมือนกับโดนผีหลอก แต่ผีที่หลอกกลับเป็นผีที่ตัวเธอรู้สึกดีด้วย
ลองนึกภาพดูว่า นีนา ผู้กำลังปลื้มปิติกับชีวิต เริ่มรู้จักกับแม็กซ์ ชายหนุ่มผู้ไม่ได้ตรงสเป็คเธอมากนัก แต่กลับมีเสน่ห์อันชวนให้ดึงดูด คำพูดที่เต็มไปด้วยคารมคมคาย เริ่มปลดอาวุธและเกราะกำบังทางความรู้สึก กำแพงที่เคยก่อตัวหนาหลังจากการเลิกรากับแฟนเก่าก็ค่อยๆ ทลายลง ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เหมือนกับภาพฝันที่วาดไว้ ทว่าจู่ๆ แม็กซ์กลับหายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้า ไม่มีทั้งเหตุผลและสัญญาณเตือน บทสนทนาที่เคยโต้ตอบกันกลายมาหนักอยู่ที่ฝั่งขวาฝั่งเดียว เหลือเพียงตัวนีนาที่พยายามติต่อกลับไปด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาหา ทิ้งให้เธอชะงักงันกับชีวิตเพียงลำพัง
ตามนิยามของการ ghosting ผู้ถูกกระทำจะต้องสับสนปนเสียใจ ไม่รู้สาเหตุหรือที่มาที่ไปของการหายตัวไปของอีกฝ่าย บางทีก็อาจนึกย้อนโทษตัวเองถึงการไม่สามารถรักษาอีกฝ่ายไว้ได้ เช่นเดียวกับ นีนา เธอวิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มคิดว่าการหายตัวไปของแม็กซ์ เป็นเพราะเธอรุกหนักเกินไป จนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดและถอยตัวออกห่าง
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงไม่อยากคุยกับฉัน ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันคุณบอกว่ารักฉันเป็นครั้งแรก จากนั้นคุณก็เงียบหาย ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่ามันทำให้ฉันสับสนขนาดไหน”
ความผิดหวังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในจิตใจของนีนา พลันยังทำหน้าที่เป็นกุญแจไขประตูเปิดไปสู่ความโกลาหลที่กำลังจ่อถาโถมเข้ามาในชีวิตของเธอ การที่เพื่อนเกือบทุกคนมีสามีและลูก แฟนเก่ากำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับคนใหม่ แถมเพื่อนสนิทที่เคยใกล้ชิดก็เริ่มเย็นชามากขึ้นจากการเลี้ยงลูก ทำให้เธอจำต้องย้อนกลับมามองตัวเองอีกครั้งว่า ในวัยสามสิบซึ่งควรจะสุกใส กลับค่อยๆ พังทลายลง เพราะความสัมพันธ์ที่ตัวของเธอเลือกเปิดรับมันเข้ามาในชีวิตเอง
นีนาถือเป็นภาพแทนสำคัญของบรรดาผู้คนในช่วงวัยสามสิบ อันเต็มไปด้วยความคาดหวังและแรงกดดันจากสิ่งรอบตัว ความสัมพันธ์หรือความรักสำหรับบางคนจึงอาจเป็นตัวพลิกเกมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เรื่องของนีนาสะท้อนให้เห็นว่า ในบางครั้งความสัมพันธ์ก็คาดเดาไม่ได้ บทจะพังก็พังไม่เป็นท่า บทจะดีก็ดีเกินต้าน หากตกหลุมพลางของความรัก ก็คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วว่า เราจะสามารถลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อไปอย่างสง่างามได้หรือไม่
รักไม่(อ)ยากหลอก
คนหนึ่งหายไปโดยไม่มีคำอธิบาย ส่วนอีกคน ถึงแม้จะมีเหตุผลมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังหายไปอยู่ดี
นอกจากแม็กซ์แล้ว นีนายังต้องเผชิญกับอีกหนึ่งการหายไป ซึ่งไม่ใช่การหายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แต่ตัวเธอดันรับรู้อยู่ตลอด ว่าวันใดวันหนึ่งผู้ชายคนนี้ก็ต้องหายไปจากชีวิตเธออยู่วันยังค่ำ พ่อของนีนาคือผู้ชายคนนั้น เขาป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ในระดับที่กำลังเข้าขั้นรุนแรง
ทุกคนรวมถึงตัวนีนาเองทราบดีอยู่แล้วล่ะ ว่าอัลไซเมอร์ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงทุเลาอาการให้เบาลงได้แค่เท่านั้น ซึ่งระหว่างที่ชีวิตวัย 30 ของนีนาดำเนินไปเรื่อยๆ ในอีกด้านหนึ่งเธอก็ต้องรับหน้าที่ในการดูแลผู้เป็นพ่อด้วยเช่นเดียวกัน เพราะสำหรับเธอแล้ว ผู้เป็นแม่ไม่สามารถพึ่งพาได้เท่าไหร่นัก และเพื่อเหนี่ยวรั้งความทรงจำทั้งหลายที่ยังหลงเหลือให้คงอยู่เอาไว้ จึงกลายเป็นภารกิจอันหนักหน่วงที่เธอต้องรับผิดชอบ
ความทรงจำซึ่งค่อยๆ ปลิวหายของพ่อนีนา ก็คงไม่ต่างอะไรกับการถูก ghosting เฉกเช่นที่เธอเผชิญกับแม็กซ์ เพียงแต่กรณีของผู้เป็นพ่อ เธอรับรู้อยู่แล้วว่า วันใดวันหนึ่งตัวตนหรือความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับเธอก็อาจเลือนหายไป ไม่อาจนำกลับมาได้อีก จะมีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังคงจดจำทุกช่วงเวลาในชีวิตที่เคยใช้ร่วมกันกับผู้เป็นพ่อได้
ถึงแม้เธอจะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้เธอรับมือได้ดีเท่าไหร่นัก ตัวละครอย่างนีนาจึงเป็นสามารถถ่ายทอดภาพของผู้ต้องเผชิญกับความสับสนวุ่นวายในชีวิต กับการต้องดูแลคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้เป็นอย่างดี เธอไม่สามารถรับมือกับเรื่องของพ่อได้ หนำซ้ำ ยังพาลไปมีปัญหากับผู้เป็นแม่ เพราะเธอดันตั้งธงไว้ในใจเอาไว้แล้วว่า แม่ของเธอดูแลผู้เป็นสามีตัวเองไม่ได้ จนกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งยากจะแก้ไขได้ ราวกับว่ายิ่งเธอพยายาม ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยตอกย้ำว่าการถูก ghosting ในครั้งนี้ อาจไม่ได้หนักหนาและโดดเดี่ยวเท่ากับกรณีของแม็กซ์ เพราะครั้งนี้เธอไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง หากแต่เธอยังมีแม่ซึ่งพร้อมจะดูแลพ่อเช่นเดียวกับเธอ เพียงต่างคนก็ต่างเพิ่งเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งมันคงดีกว่า ถ้านีนาจะไม่ปล่อยให้การ ghosting ในครั้งนี้ มาทำลายความสัมพันธ์กับคนรอบตัวอีกรอบหนึ่ง
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่า การเผชิญหน้ากับกับการถูก ghosting ถึงสองครั้งสองครา ไม่ต่างอะไรกับพายุใหญ่ที่โหมกระหนำเข้ามาในชีวิต การก้าวข้ามผ่านก็ว่ายากแล้ว แต่การจัดการกับความรู้สึกก็อาจเป็นเรื่องที่ยากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองเหตุการณ์กลับกลายเป็นเครื่องเตือนสติให้ตัวของนีนาได้ค้นพบอะไรมากมาย ซึ่งเธออาจเผลอทำมันหล่นหายไประหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็น มิตรภาพ ความสัมพันธ์กับครอบครัว กระทั่งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
แม้มันจะเจ็บปวด หากใครสักคนหายไปจากชีวิตโดยไม่บอกกล่าว แต่มันก็อาจทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงอยู่และควรจะรักษาพวกเขาเอาไว้