การที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 ดำเนินไปอย่างครึกครื้นช่วยปลอบประโลมจิตใจได้ไม่น้อยว่า ตัวอักษรในเล่มสี่เหลี่ยมคงไม่บอกลานักอ่านชาวไทยไปง่ายๆ และท่ามกลางตั้งหนังสือในงานนับแสนเล่ม ปกสีชมพูสะท้อนแสงเตะตา ขนาดเหมาะมือ คล้ายกำลังยั่วเย้าให้เราเข้าไปเปิดอ่าน
พี่ชายคืนเดียว หรือ Sex, Soul and the Whole Whore in me คือผลงานจากปลายปากกาและประสบการณ์จริงของ ‘นานะ’ นักเขียนหน้าใหม่ผู้อยากพานักอ่านชาวไทยไปรู้จักโลกอีกใบในเกาหลีแบบ ‘ถึงรส’ กว่าที่เคย ด้วยประกอบอาชีพอยู่ในวงการแฟชั่น เจ้าของเพจ ‘นนน’ จึงมีโอกาสเดินตามฝันอย่างการไปเยี่ยมเยือนเมืองโสมกว่า 10 ครั้งตลอด 10 ปี และทุกครั้งที่ไป เรื่องราวมากมายก็เกิดขึ้น…
ปี 2013 ทรานส์เจนเดอร์ผู้อ่อนต่อโลกจรดปลายนิ้วพิมพ์ตัวอักษรแรก ถ่ายทอดเรื่องราว One Night Stand คืนแล้วคืนเล่าลงบนหน้ากระดาษ เธอในวัยนั้นอยากเล่าเพียงความสัมพันธ์อันหวือหวาที่มีต่อโอปป้าเกาหลี ยังไม่มีความสนใจในรายละเอียดอื่นๆ
กระทั่งปี 2023 หญิงสาวก็ตกผลึกความรู้สึกหนึ่งทศวรรษ เธอพาหนังสือไปไกลกว่าแค่เรื่องรักฉาบฉวยในห้องนอน แต่ออกสำรวจบริบทและจิตวิญญาณของประเทศซึ่งถูกสร้างจากซากปรักหักพัง นานะในวันนี้เข้าใจคุณค่าและตัวตนซึ่งเกิดมาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง จนสามารถปิดเล่มพี่ชายคืนเดียวได้สำเร็จ
ทว่าความท้าทายของเธอก็ยังไม่หมดลง หลังจากเขียนต้นฉบับเสร็จสรรพ เธอใจแข็งดำเนินขั้นตอนต่อจากนั้นโดยไม่ง้อสำนักพิมพ์ ทั้งจ้างวานบรรณาธิการ ออกแบบปก ติดต่อโรงพิมพ์ จัดทำของที่ระลึก กระทั่งวางขาย เธอทำด้วยตัวเองทั้งหมด
ณ ออฟฟิศ The MATTER สาวผมยาวในเสื้อยืดสีดำ กระโปรงลายทาง ท่าทางมั่นใจ เดินเข้ามาพร้อมหนังสือเล่มใหม่ในมือ
ทำไมเธอจึงกล้าหาญทำหนังสือด้วยเองในวันที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่าสื่อบนหน้ากระดาษกำลังจะตาย เรื่องราวความรักอันเผ็ดร้อนของหญิงทรานส์เจนเดอร์ในเกาหลีใต้เป็นแบบไหน และเพราะอะไร ท้ายที่สุด เธอจึงเข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง
อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ เราคงได้รู้คำตอบพร้อมกัน
ของเล่นแค่พันกว่าบาทแม่ไม่ซื้อ แต่ซื้อชุดสอนภาษาอังกฤษหลักหมื่นให้
ย้อนกลับไปประมาณ 30 ปีที่แล้ว คุณกับตัวหนังสือเป็นเพื่อนกันได้ยังไง?
ตอนเด็กๆ เราไม่เคยมีของเล่น คุณแม่ไม่เคยซื้อของเล่นให้ และเราก็แทบไม่เคยร้องขอของเล่นเลย น้อยมาก ตั้งแต่จำความได้ก็ชอบหนังสือแล้ว ตอนเด็กชอบอ่านนิทาน นิทานอีสปนี่ของโปรด พอโตมาหน่อยก็อ่านขายหัวเราะ มาร์เวล คำพังเพย ปริศนาอักษรไขว้ ความรู้รอบตัว เพราะงั้นตัวตนของเราเลยผูกติดอยู่กับหนังสือมาตลอด
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนอนุบาล 2 พ่อกับแม่ของเราหย่ากัน ตอนนั้นเราอยู่กับพ่อแล้วแม่มาเยี่ยม เป็นเด็กอนุบาลอะเนอะ ก็คิดว่าแม่คงจะซื้อของเล่นมาให้ แต่ไม่ สิ่งที่แม่ซื้อมาฝากคือหนังสือ แถมไม่ได้มีเล่มเดียว มีเป็นสิบจ้า อาจจะเพราะเขาเป็นครูด้วย
อนุบาล 2 ก็อ่านหนังสือออกแล้วเหรอ?
ไม่ค่ะ (หัวเราะ) อ่านไม่ออก ก็ดูภาพไป หรืออย่างตอนประถมเคยอยากได้จักรเย็บผ้าของเด็ก เราก็อยากเย็บรูปดาว เย็บชุดตุ๊กตาตามประสา แต่ตัวเองไม่มีตุ๊กตานะ ถ้าอยากเล่นต้องไปเล่นบ้านเพื่อน
อยากได้แล้วได้ตามที่อยากรึเปล่า?
แน่นอน ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) สิ่งที่ได้มาแทนคือชุดสอนภาษาอังกฤษ ราคาหลายหมื่นเลย เป็นชุดให้เรียนรู้เรื่องตุ๊กตานี่แหละ มีเทปให้ฟัง มีวิดีโอให้ดู ของเล่นแค่พันกว่าบาทไม่ซื้อ แต่ซื้อชุดสอนภาษาอังกฤษหลักหมื่น
ทำไมแม่คุณจึงทุ่มให้กับหนังสือและความรู้มากขนาดนั้น?
จริงๆ เขาไม่เคยคาดหวังหรือกดดันว่าลูกต้องเรียนเก่งเลยนะ แต่เหมือนเขารู้ว่าอะไรดี อะไรมีประโยชน์ เขาจะสนับสนุนทุกอย่างที่เราเลือกทำแล้วมีประโยชน์ แต่ตัวแม่เองไม่อ่านหนังสือนะ หนังสือลูก แม่ยังไม่อ่านเลย (หัวเราะ)
บางคนอาจจะชอบอ่านอย่างเดียว ทำไมคุณถึงชอบเขียนหนังสือด้วย?
ตอนขึ้น ป.5 เราย้ายจากโรงเรียนนอกเมืองไปอยู่โรงเรียนประจำอำเภอ เข้าไปอยู่แค่เดือนเดียว แต่ดันเขียนเรียงความวันแม่ได้ที่ 1 คือก่อนหน้านั้นก็เคยเขียนนู่นนี่มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองชอบ ก็แค่เขียนๆ ไป พอชนะปุ๊บ เราเริ่มรู้สึกว่า เห้ย ฉันทำสิ่งนี้ได้หนิ ภาษาแบบนี้ ทำไมฉันคิดได้นะ เออ ฉันอาจจะเขียนเก่งก็ได้แฮะ หลังจากนั้น นอกจากชอบอ่านแล้วก็เริ่มชอบการเขียนด้วย
ตุ้งติ้งแล้วมันยังไง!
สิ่งหนึ่งที่น่าจะขนานไปกับความรักในการเขียนคือการรับรู้ถึงเพศวิถีของตัวเอง สภาพแวดล้อมแบบไหนที่ช่วยให้คุณเข้าใจและกลายเป็นผู้หญิงที่ชื่อนานะได้อย่างทุกวันนี้?
เราน่าจะเริ่มรู้ตัวตอน ป.2 เทอม 1 ในหนังสือเขียนไว้ด้วยนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นมีกิจกรรมโรงเรียนที่ให้เด็กผู้ชายจับคู่กับเด็กผู้หญิงขึ้นไปทำการแสดงบนเวที เรามีน้องชายฝาแฝด น้องเราได้จับคู่กับเด็กผู้หญิงอีกคน ขึ้นไปพายเรือหรือเล่นละครอะไรสักอย่าง แล้วคนก็แซวน้องชายเรากับผู้หญิงคนนั้น ‘อุ๊ย น่ารักจัง’ แต่สำหรับเรา ฟีลลิ่งมันไม่ได้เลย ทำไมมันดูประหลาด ไม่เห็นรู้สึกว่าคู่กันเลย แต่เราก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากนะ
จนตอน ป.2 เทอม 2 ที่ต้องย้ายโรงเรียน นั่นคือครั้งแรกที่เราโดนเพื่อนร่วมชั้นล้อว่าตุ๊ด ถึงเริ่มรู้ว่า อ๋อ แบบนี้เรียกว่าตุ๊ดเหรอ ก็ค่อยๆ เข้าใจว่าเราน่าจะมีความเฟมินีนอยู่ในตัว จากนั้นก็ได้เรียนรู้ว่าเราคืออะไร เราเป็นใคร ยุคนั้นการเป็นเกย์ กะเทย หรือทรานส์เจนเดอร์ไม่มีนิยามที่แน่ชัด แต่ตัวตนของเราก็ชัดขึ้นผ่านกาลเวลา เริ่มเข้าใจว่าฉันมีความสิเหน่หาให้เพศชายนะ ไม่ได้อยากผมสั้นนะ อยากใส่ชุดผู้หญิงนะ คิดว่ามาชัดเอาจริงๆ ก็ตอนเรียนมหาลัยแหละ มันมีพื้นที่ให้เราเป็นตัวเองได้เต็มที่
สังคมไทยในยุคนั้นที่น่าจะเข้าใจเรื่องเพศน้อยกว่าตอนนี้มากทำให้เด็กหญิงนานะรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกบ้างรึเปล่า?
จริงๆ เราไม่ได้รู้สึกแปลกแยกจากสังคมนะ ต้องบอกว่าโชคดีที่เรามีน้องชาย น้องชายเราเป็นเกย์ เราจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือแปลกแยก และโชคดีอีกอย่างคือเรากับน้องเรียนค่อนข้างดี ภาพการรับรู้ที่คนอื่นมีต่อเราก็เลยไม่ได้แย่ด้วย ทั้งในสายตาของเพื่อนร่วมชั้น ครู และแม่
แต่ถามว่ามีรู้สึกแย่มั้ย ก็อาจจะมีจากคนรอบข้าง ทุกครั้งที่มีคนพูดว่า ‘ทำไมตุ้งติ้ง’ ‘ทำไมลูกเธอออกสาว’ เราก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองแปลก แต่ในสายตาที่เรามองตัวเองไม่ได้คิดแบบนั้น ธรรมชาติของเราเป็นแบบนี้
แล้วการโดนเลือกปฏิบัติล่ะ?
มีอยู่แล้วค่ะ (หัวเราะ) ชีวิตส่วนมากของเราราบรื่นก็จริง แต่ปัญหาแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ที่เจอก็เป็นปมเล็กๆ ในใจมาตลอด อย่างตอนเป็นเพื่อนเจ้าสาว เราเคยออกไปรับช่อดอกไม้ แต่พิธีกรก็ประกาศขึ้นมาว่า ขอเป็นสาวแท้เท่านั้น หรือตอนปาร์ตี้บริษัท เขาขอให้ผู้หญิงอาสาขึ้นไปเล่นเกม พิธีกรก็พูดแบบเดียวกัน
แต่ปัญหาหลักคงเป็นเรื่องความรักมากกว่า ถ้าได้อ่านหนังสือจะเห็นชัดเลยว่า ความรักสำหรับ LGBTQ+ ที่เป็นทรานส์เจนเดอร์มีกำแพงบางอย่างซึ่งคนที่จะมาเป็นแฟนหรือพาร์ตเนอร์ต้องก้าวข้าม เราดีใจมากที่วันนี้กำแพงนี้เบาบางลงแล้ว แต่เราก็หวังว่า สักวันความรักจะกลายเป็นเรื่องของตัวตนโดยตัดเรื่องเพศออกไป เหมือนที่เราเขียนในหนังสือค่ะว่า ‘ความรักจะเท่ากับความรัก หัวใจมันไม่มีเพศหรอกนะ’
แต่อย่างน้อยที่สุดคนในบ้านก็เข้าใจใช่มั้ย?
น้องเราเข้าใจอยู่แล้ว ส่วนแม่ แม่ไม่ได้กำหนดว่าเราต้องเป็นอะไร แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณแม่ถามว่าทำไมทำตัวไม่สมเป็นผู้ชายเลย ทำไมต้องตุ้งติ้ง เราสองคนกับน้องชายก็เป็นคนดุในระดับหนึ่งเนอะ ตอนนั้นน้องชายเราตะโกนสวนเลย ‘ตุ้งติ้งแล้วมันเป็นยังไง’ เราก็ต่อเลย ‘เออ แล้วมันเป็นยังไง’ (ตะโกนให้ดู)
ขอโทษนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นในวัยไหนนะ?
ม.ต้นค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งแม่เงียบเลย หลังจากนั้นแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้อีกเลย ปกติเราไม่เคยเถียงแม่ด้วยแหละ ครั้งนั้นเลยอิมแพคมั้ง สุดท้ายเขาก็ดูรับได้นะ เรากับน้องชายเรียนดี เป็นที่รักของครูอาจารย์ด้วย ฉะนั้นถ้าคิดง่ายๆ มันก็มีส่วนที่น่าจะทำให้เขาภูมิใจ ตอนโตก็เคยคุยกับเขาเรื่องนี้ เขาก็บอกว่ารับได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะเป็นอะไรก็ได้
เราไม่คิดว่ามันฉกฉวย เรียกว่ามันช่วยให้เรารู้รสชาติของชีวิตมากกว่า
ชีวิตของนานะไปข้องเกี่ยวกับประเทศเกาหลีได้ยังไง?
ตอนนั้นเราได้ทำงานในตำแหน่งบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นของเกาหลี เรียกว่าเป็นนิตยสารท้องถิ่นเบอร์ 1 ของเกาหลีก็น่าจะได้ ยุคนั้นเกาหลียังไม่บูมเลย ในไทยมีคนรู้จักแค่กลุ่มเล็กๆ พอเราเข้าไป 2 เดือนก็ได้ไปเกาหลีเลย ตื่นเต้นมาก พอไปแล้วมันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้อยากกลับไปอีก (ยิ้มกรุ้มกริ่ม) และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่กระตุ้นให้เราเข้าไปทำงานในสื่อเกาหลีตั้งแต่แรกด้วย
ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ…
ผู้ชายค่ะ (หัวเราะ) ก็อยากตอบให้ดูสวยเก๋นะคะ แต่เราหลบเลี่ยงความจริงไม่ได้ คือโอปป้าที่เราเห็นเนี่ย ขนาดแค่คนทั่วไปที่เจอตาามสถานที่ท่องเที่ยวนะ ยังดียังหล่อขนาดนี้ ก็เลยอยากกลับไปอีกบ่อยๆ
นอกเหนือจากผู้ชาย ประเทศนี้มีดีอะไรให้คุณตกหลุมรัก?
เราสนใจหลายเรื่องเลย ช่วงแรกก็ชอบดูซีรีส์กับฟังเพลง เอาจริงฟังไม่ออกนะ แต่ทำนองจับใจเรามาก ฟังแล้วร้องไห้เลยก็มี ต่อมาเราก็เริ่มสนใจสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับเกาหลี ถ้าคนไทยที่ไปอยู่เกาหลีเขียนหนังสือถึงเกาหลี เราจะซื้อทุกเล่ม เราอยากเห็น อยากเข้าใจ เรารู้สึกว่าความเป็นเกาหลีมีเสน่ห์ ประเทศนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย ยิ่งได้รู้ว่าเขาสร้างประเทศขึ้นจากเถ้าถ่านในระยะเวลา 50 ปีจนกลายเป็นมหาอำนาจ เราก็ยิ่งนับถือในความแกร่งและความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นมา
แต่เท่าที่เรารู้มา คนเกาหลีไม่ค่อยยอมรับกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศไม่ใช่เหรอ?
อย่าเรียกไม่ค่อย เขาไม่ยอมรับเลยค่ะ แต่ในพาร์ตทำงาน เราไม่เจอปัญหานะ โอเค คนเกาหลีขี้นินทา ลับหลังอาจจะมี แต่หน้างาน ทุกคนเป็นมืออาชีพ
และอีกปัจจัยคือที่เกาหลีไม่ค่อยมีทรานส์เจนเดอร์ เขาไม่ค่อยรู้จักด้วยซ้ำ สิบกว่าปีที่แล้ว โลกยังไม่เปิดขนาดนี้ด้วย พอรูปลักษณ์เราเป็นกะเทยแต่งหญิง ดูเรียบร้อย เอาเข้าจริงเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ชาย หน้าเราอาจจะไม่ได้เป็นตามสมัยนิยมหรือพิมพ์นิยม แต่พอเป็นชาวต่างชาติ เขาอาจจะคิดไปว่า หน้าผู้หญิงต่างชาติเป็นแบบนี้มั้ง แต่ช่วงหลังที่เขารู้แล้วมีปัญหาก็เคยมีเหมือนกัน แต่ไม่มาก
ประเทศเกาหลีเอาอะไรไปจากคุณบ้าง?
สิ่งแรกที่เกาหลีเอาไปจากเราคือพรหมจรรย์ค่ะ (หัวเราะ) ถ้าอ่านหนังสือจะเห็นเลยว่า การเดินทางของนานะจะมีช่วงที่เธอรักษาพรหมจรรย์เพื่อรอวันแต่งงาน ณ วันนั้น เธอเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่เวลาที่ผ่านไปและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือก็เปลี่ยนทัศนคติของเธอ เธอไม่ได้ยึดถือในคุณค่าเดิมแล้ว แต่นอกจากพรหมจรรย์ที่เกาหลีฉกชิงไป ที่เหลือคือมีแต่ให้กับให้
แล้วให้อะไรกลับมาบ้าง?
ประสบการณ์เซ็กซ์ที่หวือหวาและหลากหลาย ทั้งดีและไม่ดี หนึ่งในช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตอยู่ที่เกาหลี ขณะเดียวกันก็มีช่วงที่เศร้าและเจ็บปวดเยอะมาก แต่เราไม่คิดว่ามันฉกฉวย เรียกว่ามันช่วยให้เรารู้รสชาติของชีวิตมากกว่า
อ้อ เกาหลีทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นในหลายๆ มุม เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตัวตนของเราชัดเจนและเป็นเราในทุกวันนี้ เราไม่เคยออกเดตกับผู้ชายไทยได้อย่างออกหน้าออกตามาก่อน แต่ในประเทศที่ต่อต้าน LGBTQ+ กลายเป็นว่า มีหลายครั้งมากๆ ที่ผู้ชายพร้อมออกเดตกับเราทั้งที่รู้ว่าเราเป็นกะเทย หลายคนเปิดใจให้เพศที่แตกต่างอย่างเรา ให้เกียรติเรา และปฏิบัติต่อเราในฐานะคนคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
และที่สำคัญก็ให้หนังสือพี่ชายคืนเดียวด้วย
ใช่ค่ะ อันนี้คุ้มมาก (หัวเราะ)
ฉันว่าแกทำได้ดีกว่านี้นะ
หนังสือพี่ชายคืนเดียวเกิดขึ้นเมื่อไหร่และได้ยังไง?
ก็เริ่มตอนเกิดเรื่องเลย ปี 2013 เขียนๆ หยุดๆ มาตลอด 10 ปี คือเราฝันมานานมากว่าอยากมีหนังสือเป็นของตัวเองสักเล่ม มีความอยากอยู่ในตัวอยู่แล้ว ตอนนี้มีเรื่องแล้ว เอาสิ ก็แมตช์กันพอดี
ทำไมจึงเขียนตั้ง 10 ปี แค่ปีสองปีก็น่าจะพอแล้วรึเปล่า คุณรออะไรอยู่?
ตอนนั้นเราเขียนแล้วไปเสนอหัวหน้าเก่า ‘เจ๊ หนูอยากจะเขียนแบบนี้’ หัวหน้าเก่าเป็น บ.ก. เนอะ เขาก็บอกกลับมา ‘ฉันว่าแกทำได้ดีกว่านี้นะ’
เจ็บนะ แต่ก็เข้าใจ ตอนนั้นหนังสือเรายังมีแค่เรื่องเซ็กซ์ เรื่องแซ่บ ออกแนวฉาบฉวย เรายังไม่เคยมีประสบการณ์เลวร้ายเลยด้วย พอเวลาผ่านมา ไปเกาหลีบ่อยขึ้น เจอประสบการณ์มากขึ้น ก็เริ่มคิดได้ว่าหนังสือควรจะต้องมีประเด็นมั้ย น่าจะให้อะไรกับสังคมมั้ย หรือจริงๆ ไม่ต้องให้ แต่ก็ควรต้องมีแง่มุมที่ลุ่มลึกกว่านี้รึเปล่า แต่หลังจากเจ้านายเก่าพูดแบบนั้น เราก็หยุดเขียนไปเลย 2 ปี
ทำไมจึงกลับมาเขียนต่อ?
เรามีอะไรให้เล่า เมื่อก่อนเราไม่สนใจสังคมประวัติศาสตร์ เราสนใจแค่ผู้ชาย พอยุคหนึ่งเราสนใจมากขึ้น เริ่มมองเห็นว่าจริงๆ มันมีบริบทที่แวดล้อมผู้ชายคนนั้น สิ่งที่เราเชื่อมโยงกับเขา เราโดนผู้ชายเกาหลีทำร้ายร่างกาย ซึ่งเราก็เห็นมาตลอดทั้งในหนัง ซีรีส์ หรือในข่าวว่า ผู้ชายเกาหลีชอบทำร้ายร่างกายผู้หญิง แทนที่เราจะเล่าว่าตัวเองโดนตบ เจ็บปวด ก็เล่าเพิ่มว่า จริงๆ แล้วเบื้องหลังคืออะไร ทำไมเขามีพฤติกรรมแบบนี้ สถิติเป็นยังไง ทำไมผู้หญิงไม่แจ้งความ หนังสือก็มีอะไรมากกว่าเรื่องแซ่บ ไปได้ไกลกว่าเดิม
ก็เลยเขียนจนจบ?
ใช่ เราก็ได้ตกผลึกกับตัวเองมากขึ้นด้วย เข้าใจเรื่องราวที่ผ่านมามากขึ้นจากการ Deep Talk กับน้องชาย เราสองคนชอบนั่งดื่มคุยกัน ที่เจ้านายบอกว่าเธอทำได้มากกว่านี้ วันนี้เรารู้แล้วว่ามันคืออะไร
ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะส่งต้นฉบับไปเสนอกับสำนักพิมพ์ เพราะอะไรคุณจึงตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือด้วยตัวเอง?
จริงๆ เรายื่นไป 4 สำนักพิมพ์นะ มีที่หนึ่งบอกว่าไม่รับต้นฉบับเลย ส่วนอีก 3 ที่เงียบ รอ 3 เดือนก็ยังเงียบ แต่เพราะตัวตนของเราที่ไม่ค่อยง้อใครด้วย อยากทำตามฝันด้วย ก็เลยบอกตัวเองว่า ‘ไม่มีใครรับต้นฉบับนี้ใช่มั้ย มันดีนะ ไม่มากก็น้อย งั้นทำเองแม่งเลยแล้วกัน’
ทำอะไรเองบ้าง?
จ้างบรรณาธิการเอง ออกแบบเอง สีปก วาดภาพประกอบ ทำเองทุกอย่าง ผลิต พิมพ์ ขาย ก็ในเมื่อมันผ่านสำนักพิมพ์ไม่รอด ก็ต้องทำเองนั่นแหละ
แต่ทำเองดูจะใช้ต้นทุนมากกกว่าพึ่งสำนักพิมพ์ คุณไม่กังวลเรื่องนี้เลยเหรอ?
กังวลค่ะ แต่ทำไงได้ในเมื่อสำนักพิมพ์ไม่รับ กังวลมาก ค่าใช้จ่าย ขาดทุน กำไร ช่องทางการขาย คอนเน็กชั่นก็ไม่มี แต่เราก็ให้กำลังใจตัวเองนะว่า ต่อให้ทำกับสำนักพิมพ์ ถ้าหนังสือไม่ดี ก็ไม่มีคนซื้ออยู่ดี แต่ถ้าหนังสือน่าสนใจมากพอ ต่อให้ทำเอง สุดท้ายมันก็คงไปของมันได้ อาจจะขาดทุน อาจจะไม่มีคนซื้อ แต่อย่างน้อยเราได้ทำตามความฝันแล้ว เกิดมาแค่หนึ่งชีวิตอะเนอะ
ถ้าให้ว่ากันตามตรง เนื้อหาของพี่ชายคืนเดียวก็ฉาวอยู่พอสมควร กลัวว่าการนำเสนอมุมนี้จะยิ่งทำให้กลุ่มคนอ่านแคบลงไหม?
คงปฏิเสธไม่ได้ แค่ชื่อเรื่องพี่ชายคืนเดียวก็ชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งชื่อภาษาอังกฤษอีก Sex, Soul and the Whole Whore in Me แค่ชื่อก็คัดคนแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่อยากอ่านเรื่องเซ็กซ์ หรือคนที่อยากอ่านเรื่องเซ็กซ์ก็อาจจะไม่ได้ชอบเกาหลี ใช่ มันจำกัดกลุ่มคนอ่าน แต่นี่คือเรื่องที่เราอยากเล่า เราคิดว่าถ้ามีคนเปิดใจให้มัน เขาก็จะได้เห็นสิ่งที่เราอยากบอก เหมือนกับการเป็น LGBTQ+ ของเราในสังคมนี้ การที่เราจะมีเพื่อน มีสังคม มันอาศัยการเปิดใจของผู้คนไม่มากก็น้อย สุดท้ายแล้ว หนังสือเล่มนี้มองหาคนที่อยากดู อยากลอง อยากเข้าใจ เหมือนกับที่หลายครั้งเราก็เปิดใจหยิบหนังสือที่เราไม่สนใจขึ้นมาเปิดอ่าน
นอกจากเรื่องราวที่หวือหวาแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมาพร้อมของที่ระลึกอย่างถุงยางอนามัยพร้อมใบเสร็จด้วย?
ไปแล้วต้องไปให้สุด ครั้งแรกที่ชวนครูลูกกอล์ฟ—คณาธิป สุนทรรักษ์ มาเขียนคำนิยมให้ นางก็ถามว่า ‘คุณพี่ เราไม่ได้กำลังสนับสนุนให้คนไปขายตัวใช่มั้ยคะ’ (หัวเราะ) เราก็ตอบว่าไม่ใช่ค่ะ แค่มนุษย์ควรมีอิสระในการใช้ชีวิต ตัวละครนานะ ซึ่งก็คือเราในตอนนี้ไม่คิดว่าคนเราควรตัดสินกันที่จำนวนหรือช่วงเวลาการมีเซ็กซ์ เซ็กซ์คือเพศสัมพันธ์ คือสัญชาตญาณที่เกิดจากความรู้สึก เป็นเรื่องปกติธรรมชาติมากๆ สิ่งที่เราอยากนำเสนอคือ ถ้าเขาชอบที่จะมีเซ็กซ์ ยอมรับกับกรอบของสังคมได้ ก็ป้องกันไว้ดีกว่า
บางคนเปลี่ยนแฟนทุกปี บางคนเปลี่ยนคู่รักทุกไตรมาส แต่สำหรับบางคน รอมาครึ่งชีวิตแล้วก็ยังหาไม่เจอ
ในหนังสือคุณเขียนว่า ‘ถ้าความรักเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่หาได้ตามร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านก็คงจะดีไม่น้อย’ แล้วความรักในโลกความจริงไม่เป็นแบบนั้นเหรอ?
จริงๆ ความรักมีหลายรูปแบบนะ แต่นานะในช่วงเวลานั้นมองหาแต่ความรักเชิงชู้สาว ซึ่งเราก็รู้ว่าความรักสำหรับ LGBTQ+ เกิดขึ้นไม่ง่าย ในหนังสือจะมีประโยคที่ว่า ‘บางคนเปลี่ยนแฟนทุกปี บางคนเปลี่ยนคู่รักทุกไตรมาส แต่สำหรับบางคน รอมาครึ่งชีวิตแล้วก็ยังหาไม่เจอ’ สุดท้ายความรักของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเมื่อ 10 ปีที่แล้วเกิดขึ้นไม่ง่ายเลย คือมันมีนะ แต่ก็เป็นแค่กลุ่มคนเล็กๆ ที่เปิดใจรับ
นานะในวัย 30 ปลาย ยังขวนขวายความรักจากคนอื่นอยู่รึเปล่า?
คิดว่าไม่แล้ว มีนักเขียนที่อ่านแล้วท่านหนึ่งตั้งคำถามว่า สุดท้ายนานะแค่ปลงกับการหาความสัมพันธ์หรือนานะรักตัวเองได้แล้วจริงๆ เราว่าก็ทั้งสองอย่าง ส่วนหนึ่งนานะก็ปลง เธอใช้ความพยายามมาพอสมควร เจอประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ เธอก็เลยลงปลง แต่ความปลงนั้นก็คงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเธอไม่ได้รับความรักเลย วันนี้เธอมองเห็นความรักรอบข้าง ความรักจากเพื่อน จากครอบครัว มันคือสิ่งที่เธอในวัยหนึ่งเคยไม่ต้องการ ทว่าวันนี้เธอเห็นคุณค่าของมันแล้ว
‘คุณค่าของผู้หญิงขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของช่องคลอดแค่นั้นเลยเหรอ ผู้หญิงข้ามเพศอย่างฉันกับช่องคลอดประดิษฐ์ฝีมือศัลยแพทย์จะถูกจัดกลุ่มเข้าไปด้วยไหม แล้วทำไมพวกผู้ชายถึงลอยตัวขึ้นอยู่เหนือการตกเป็นจำเลยในชั้นศาล ทั้งๆ ที่พวกเขาก็ผ่านก็ไม่น้อยไปกว่ากัน’ คุณต้องการจะสื่อว่าโลกนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมเหรอ?
จริงๆ เราไม่ได้ตัดสินว่ามันเท่าเทียมหรือไม่เท่าเทียม เพราะการถกเถียงคงไม่สามารถจบที่หนังสือได้ เราไม่ได้เก่งหรือมีความรู้มากพอ เหมือนเราแค่อยากตั้งคำถามขึ้นมาน่ะว่ามันเท่าเทียมรึยังนะ สิ่งที่เป็นอยู่ไม่แปลกจริงๆ เหรอ
งั้นสำหรับนานะ คุณค่าของผู้หญิง รวมถึงตัวคุณเองควรขึ้นอยู่กับอะไร?
เราว่ามันอยู่ขึ้นอยู่กับความเชื่อด้วยนะ คุณค่าของมนุษย์มีหลากหลายมาก คุณค่าภายใน คุณค่าภายนอก เราคงไม่พูดว่าคนที่เชื่อในคุณค่าของความบริสุทธิ์เป็นเรื่องผิดหรือตกยุค เราเองก็เคยเชื่อแบบนั้น เคยชื่นชมผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัว แต่สุดท้าย เราผ่านผู้ชายจำนวนมากแล้วพบว่าตัวตนของเราก็ไม่ได้ถูกทำลาย จิตวิญญาณของเราไม่ได้ตกต่ำลง คุณค่าที่เรายึดถือจึงเหลือแค่ว่า วันนี้เราภูมิใจในตัวเองรึเปล่า รักตัวเองรึเปล่า ในแง่ของสุขภาพ ตัวตน และความสำเร็จ เราเคยอยากได้การยอมรับจากผู้ชายในเรื่องของเพศและความรัก ทั้งที่มีคนมากมายพร้อมยอมรับเราในเรื่องของผลงานและตัวตน
แม้จะมาในมาดของสาวมั่นใจ แต่ตลอดการพูดคุยกว่า 90 นาทีกลับชี้เราให้เราเห็นว่า นานะคือผู้หญิงที่คิดมากและจริงจังกับการใช้ชีวิตไม่ต่างจากที่เรารู้จักผ่านหนังสือ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าใครก็ตามที่เปิดใจเปิดกระดาษอ่านก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นคงได้เข้าใจความเป็นไปของเมืองเกา ตัวตนของเรา เซ็กซ์ รวมไปถึงชีวิตของทรานส์เจนเดอร์เพิ่มมากขึ้น
ก่อนจากกัน เราถามนานะเป็นคำถามสุดท้ายว่าเธอตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ใครอ่าน เธอตอบกลับสั้นๆ แต่เข้าใจว่า
“หนังสือเล่มนี้เขียนให้ทุกคนอ่าน แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกอ่าน สำหรับใครก็ตามที่เปิดใจให้กับมัน เราไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องเข้าใจหรือเห็นด้วยกับสิ่งที่เราเขียน อย่างน้อยให้โอกาสเราได้พาเขาไปเห็นที่ ๆ ไม่เคยไป ดูชีวิตที่ไม่เคยใช้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
พี่ชายคืนเดียวมีจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 51 ที่บูธของสำนักพิมพ์ Avocado Books (E24) เคล็ดไทย (K32) มติชน (M49) และร้านหนังสือก็องดิด (L32) ทั้งยังหาซื้อได้ที่ร้าน Kinokuniya สาขาสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และเอ็มควอเทียร์
รวมถึงช่องทางออนไลน์อย่าง Shopee กับ Lazada
พร้อมทั้งสามารถอ่านในรูปแบบ E-Book ได้ที่ Pinto Meb และ Ookbee