คงไม่เกินเลยถ้าจะบอกว่าซีรีส์ Dept. Q (2025) มาผิดจังหวะไปหน่อยสำหรับผู้ชมชาวไทย เพราะในวันที่ 29 พฤษภาคม 2025 หรือวันแรกที่ Dept. Q ลงจอฉายบน Netflix คือวันเดียวกันกับที่ สงคราม ส่งด่วน (2025) ซีรีส์ฝืมือทีมงานไทยลงจอให้ได้ดูเช่นกัน หลังจากนั้นเราต่างรู้กันว่า สงคราม ส่งด่วน ได้กลายเป็นซีรีส์สร้างปรากฏการณ์ โดยเฉพาะในไทย คนที่ดูจบต่างพูดถึงและแตกประเด็นมากมายจากตัวซีรีส์จนตามอ่านตามดูกันไม่หวาดไม่ไหว
มองดูแล้ว สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn) และแรงตอบรับที่ตัวซีรีส์ได้ฝากไว้คงเป็นเหมือนยูนิคอร์นไฟลุกที่วิ่งควบมาเติมไฟให้ทั้งคนดูและคนทำงานสร้างสรรค์ในไทยไปพร้อมๆ กัน หากดูจากความบ้าระห่ำ ความเดือดดาลในโลกธุรกิจ แทรกด้วยโมเมนต์โรแมนติกและอารมรณ์ขัน ซีรีส์ Dept. Q คงเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้าม ไม่ว่าจะการดำเนินเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ให้อารมณ์ดุเดือดสุดขีด เรื่องรักๆ ก็ดูจะน้อยนิด หากจะตลกก็ไปทางตลกร้ายเสียมากกว่า ทว่าสิ่งที่ทั้งสองเรื่องนี้มีให้เหมือนกัน (นอกจากวันฉายตรงกัน) อาจจะเป็นการดึงให้คนดูตกอยู่ในภาวะดูรวดเดียวจบ หรือ binge watch นั่นเอง
ความน่าสนใจแรกของ Dept. Q คือมันเป็นซีรีส์โดยฝีมือ สก็อตต์ แฟรงก์ (Scott Frank) และ จันทนี ลักขณี (Chandni Lakhani) ผลงานก่อนหน้านี้ของแฟรงก์ที่คุ้นเคยกันคงหนีไม่พ้น The Queen’s Gambit (2020) ซีรีส์ว่าด้วยชีวิตและการแข่งขันของนักหมากรุกหญิง ย้อนกลับไปไกลอีกหน่อย แฟรงก์คือหนึ่งในทีมเขียนบท Logan (2017) หนังที่เล่าช่วงวัยชราของวูล์ฟเวอรีนแห่ง X-Men และถ้าจะย้อนไปให้ไกลอีก Minority Report (2002) หนังไซไฟโลกอนาคตก็เป็นอีกเรื่องที่เขามีส่วนร่วมเขียนบท จะบอกว่าแฟรงก์สร้างผลงานหลากหลายแนวก็คงได้
Dept. Q ซีรีส์เรื่องใหม่แฟรงก์และลักขณีมาในแนวสืบสวนสอบสวน ดัดแปลงจากชุดนิยายอาชญากรรม Department Q ของนักเขียนชาวเดนมาร์ก ยุสซี แอดเลอร์-โอลเซน (Jussi Adler-Olsen) ว่าด้วย ‘คาร์ล มอร์ค’ นำแสดงโดย แมทธิว กู๊ด (Matthew Goode) สารวัตรนักสืบแห่งเอดินบะระ สกอตแลนด์ ที่ต้องมารับหน้าที่หัวหน้าแผนก Department Q แผนกใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบสวนคดีปิดไม่ลง แม้เขาจะมีฝีมือเก่งกาจ แต่นี่คือการกลับมารับหน้าที่หลังเหตุยิงที่ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ‘เจมส์ ฮาร์ดี’ รับบทโดย เจมี ไซฟส์ (Jamie Sives) เพื่อนร่วมงานของเขาต้องเป็นอัมพาต และมีนายตำรวจเสียชีวิตอีกหนึ่งนาย มอร์คกลับมาทำงานในขณะที่เขายังปฏิเสธบาดแผลภายในใจ แถมยังได้รับแววตาเพ่งเล็งจากคนในสถานีตำรวจด้วยความหมั่นไส้ต่อมอร์คที่มีอยู่เป็นทุนเดิม นั่นก็เพราะมอร์คมักมองว่าตัวเองเหนือกว่า และมีมาตรฐานในการทำงานสูงส่งกว่าใครอยู่ตลอดเวลา
คดีใหญ่ที่ Department Q ต้องรับผิดชอบคือการตามหา ‘เมอร์ริตต์ ลิงการ์ด’ รับบทโดย โคลอี พีรี (Chloe Pirrie) ทนายความที่หายตัวไปกว่าสี่ปี ทิ้งให้น้องชายที่เคยประสบเหตุร้ายแรงจนได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองต้องอยู่คนเดียวในสถานดูแลผู้ป่วย เรื่องน่าสงสัยในคดีนี้คือเธอหายตัวไปขณะขึ้นเรือข้ามฟากกลับไปยังเกาะบ้านเกิดพร้อมน้องชาย โดยที่กล้องวงจรปิดบนเรือไม่สามารถบันทึกภาพของเธอไว้ได้เลย
ความสนุกข้อหนึ่งของการดูซีรีส์สืบสวนคดีอาชญากรรมมักอยู่กับการที่คนดูอย่างเราๆ พยายามคาดเดาเหตุการณ์และตัวคนร้ายที่อาจเป็นไปได้ ถ้าตั้งความหวังไว้ไม่มากเท่าไหร่ก็อาจจะได้เจอกับความเซอร์ไพรส์ แต่ถ้าจินตนาการมากไปก็อาจผิดหวังในช่วงเฉลยตอนสุดท้าย เทคนิคในการเล่าเรื่องจึงสำคัญมากกับการพาคนดูคลายปมไปทีละเปลาะ คาดเดาความเป็นไปได้ไปทีละขั้น โจทย์ข้อสำคัญของซีรีส์สืบสวนสอบสวนจึงคือการที่ตัวเรื่องอาจไม่จำเป็นต้องเล่าคดีที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงหรือพิสดาร แต่อาศัยการลำดับเรื่องและการตัดต่อที่แม่นยำ ในแง่นี้ Dept. Q นับว่าประสบความสำเร็จในการสร้างบาลานซ์ระหว่างความสงสัย สับสน และการเผยความจริงได้ตลอดซีรีส์ทั้งเก้าตอน
นอกจากการพยายามเปิดเผยความจริงของคดีคนหาย จุดเด่นที่สุดของตัวซีรีส์น่าจะอยู่ที่ตัวเรื่องเปิดเผยความเป็นมนุษย์ในแทบจะทุกตัวละคร ไม่ใช่ว่าทีมนักแสดงเป็น AI หรืออะไร แต่ความเป็นมนุษย์ที่หมายถึงคือการที่ตัวละครนั้นมาพร้อมกับบาดแผลทั้งทางกายและทางใจ รวมถึงความวายป่วงในชีวิตที่ต้องเจอในแต่ละวัน
มอร์คมีแผลจากรอยกระสุนบริเวณลำคอ อีกทั้งต้องกดข่มความรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนร่วมงานต้องเป็นอัมพาต ห้ามตัวเองไม่ให้สืบคดีที่ตนเป็นผู้เคราะห์ร้าย ไหนจะต้องรับมือกับลูกชายที่ดูจะนอกลู่นอกทาง, เจมส์อดีตเพื่อนร่วมงานต้องรับมือกับอาการอัมพาตในขณะเดียวกันกลับเข้าใจความรู้สึกที่มอร์คแบกรับเป็นอย่างดี, ‘แอคราม ซาริม’ รับบทโดย อเล็กซี มานเวลอฟ (Alexej Manvelov) ผู้ช่วยที่เข้ามาในแผนกจังหวะเหมาะเจาะพอดี แต่มีอดีตในซีเรียที่เข้าปิดบังไว้, ‘โรส ดิคสัน’ ที่รับบทโดย ลีอาห์ เบิร์น (Leah Byrne) ผู้ช่วยอีกคนที่ประสบปัญหา PTSD จากการปฏิบัติหน้าที่, หรือแม้แต่ เมอร์ริตต์ ลิงการ์ด ทนายสาวที่หายตัวไปก็ต้องเจอกับความกดดันจากการทำงานและอดีตอยากจะหลีกหนี
เสน่ห์ของ Dept. Q จึงไม่ใช่การได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ที่แข็งแกร่งทั้งกายใจใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนแล้วแฮปปี้เอนดิ้ง แต่คือการได้มองเห็นความไม่สมบูรณ์แบบในตัวละครแต่ละตัว มองดูตัวละครที่บกพร่องค่อยๆ ยอมรับบาดแผล ความเจ็บปวด และข้อเลวร้ายของตัวเอง เช่น มอร์คที่ในทีแรกมีนิสัยไม่เปิดใจให้ใคร ไม่ยอมเข้าพบจิตแพทย์ สื่อสารกับคนอื่นด้วยท่าทีไม่เข้าอกเข้าใจ จนเมื่อเวลาผ่านไป มอร์คก็รับรู้ว่าตัวเขาเองก็มีข้อบกพร่องที่หนักหนา และอาจจะเป็นเขาเองที่ทำอะไรๆ ได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ตัวเองตั้งไว้
สัญญะหนึ่งที่ตัวเรื่องใช้เป็นตัวแทนของกระบวนการที่ว่าคือลูกเทนนิสที่มอร์คได้รับจาก ‘เรเชล เออร์วิง’ รับบทโดย เคลลี แมคโดนัลด์ (Kelly Macdonald) จิตแพทย์ที่รับหน้าที่ดูแลอาการของมอร์ค เธอมอบให้เขาบีบมันเพื่อระบายความรู้สึกที่คั่งค้างและไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด มอร์คปฏิเสธและมองว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พกมันไปทุกที่และกำมันไว้บ่อยครั้งในยามเขาเผชิญความตึงเครียด
หากในตอนท้ายของเรื่องแต่ละตัวละครไม่พยายามเปิดใจยอมรับความเปราะบางที่มี แผนก Department Q ก็คงกลายเป็นแผนกที่ไม่มีทางปิดคดีได้ลงไปตลอดกาล