ที่นั่งอยู่กับเราคือหนุ่มลูกครึ่งผู้มีเชื้อเจ้า ฝีมือดนตรีหาตัวจับยาก ฝากผลงานการแสดงมาไม่น้อย เขาแต่งงานกับคนรักที่คบหามานาน และกำลังมีลูกน้อยตัวเล็กๆ ถึง 2 คน …จะว่าไปก็เหมือนนิยาย ที่มีพระเอกชื่อ ‘เล็ก’ หรือ ฮิวโก้—จุลจักร จักรพงษ์ ผู้เป็นขวัญใจของสาวๆ และอาจรวมถึงหนุ่มๆ หลายคน ขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นที่รู้จักว่าแสนจะเป็นตัวเอง และไม่ไว้หน้าใคร หลายคนอาจคิดว่าเขารับมือยาก เหมาะจะเฝ้ามองในระยะไกลมากกว่าจะเข้าไปพูดคุยให้เขาเชือดเล่นๆ ด้วยคำพูดเนื้อหาคมๆ คันๆ และชวนขบคิดเสมอ
วันนี้เราไม่ได้มาพูดคุยกับเขาในฐานะคนดังคนหนึ่ง แต่ยังเป็นการพูดคุยกับชายผู้อยู่ในสถานะพ่อที่ผ่านโลกมา 35 ปี และพร้อมจะพาลูกเข้าสู่สังคมโลกที่หลายคนมองว่าฟอนเฟะเหลือเกินนี้ ในขณะที่เขามีมุมมองแตกต่างออกไป ไม่ใช่มองว่ามันดี แต่ประเด็นคือไม่มีใครสามารถปรับเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นดั่งใจได้
ฮิวโก้บอกว่าเขาตระหนักข้อนี้จากการใช้ชีวิตในหลากหลายสังคม ตั้งแต่การไปเรียนที่อังกฤษ ตามความฝันในอเมริกา ผาดโผนในวงการบันเทิงไทย ร่วมมือกับนักดนตรีหลากสัญชาติ ผ่านทุกสิ่งเหล่านี้พร้อมกับยืนหยัดที่จะเป็นตัวของตัวเองเสมอ
“อาจเพราะผมมาจากกลุ่มคนที่ค่อนข้างปลอดภัยในสังคมด้วยมั้ง” เขากล่าวอย่างรู้ตัว และไม่ปฏิเสธว่าตนได้รับพื้นที่พิเศษในสังคมนี้ไม่มากก็น้อย “ซึ่งถ้าจะพูดถึงเรื่องปากท้องหรือความเป็นอยู่ น่าจะมีคนอื่นที่น่าชื่นชมและมีมุมมองน่าสนใจมากกว่าผม”
และถึงจะออกตัวอย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาบอกเล่าก็ยังคงสนุกและเข้มข้น ภายใต้บรรยากาศสบายๆ ที่มีต้นไม้ร่มรื่น บทสนทนาก็ดำเนินไป และเผยแง่มุมต่างๆ ของเขาให้เราเข้าใจมากขึ้น ทั้งการที่เขาเป็นคนรักธรรมชาติสุดชีวิต และมีความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการพูดถึงบุคคลที่มีอิทธิพลในชีวิตที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ขณะเดียวกันเขาก็เป็นนักดนตรีที่มีความฝันสนุกๆ ว่า อยากไปเล่นที่ Budokan Stadium เพราะชื่นชอบวิธีการเสพงานดนตรีอย่างสุดโต่งของชาวญี่ปุ่น ล่าสุดเขากำลังทำอัลบั้มเพลงไทย และกำลังจะมีผลงานภาพยนตร์ในอีกไม่นานเกินรอ
แต่ที่แน่ๆ มีอีกบทบาทหนึ่งของเขาที่จะละเลยไปไม่ได้ ก็คงอย่างที่หลายสื่อกำลังสนใจ นั่นคือบทบาทของพ่อและสามี…
หากให้นิยามตัวเองตอนนี้ คุณจะนิยามมันอย่างไร
บทสำคัญที่สุดตอนนี้คือการเป็นพ่อและสามี นี่คือเป็นประเด็นหลักที่สุดในชีวิต เป็นหน้าที่ที่เราไม่ควรสอบตก เพราะถึงบางวันเราจะเป็นนักร้องหรือนักแต่งเพลงที่ดีหรือไม่ เป็นคนในวงการบันเทิงที่ดีหรือเปล่า สิ่งนั้นมันไม่ได้ทำให้เรานอนไม่หลับ แต่ถ้าวันไหนเราละเลยหน้าที่หลักตรงนี้ เราจะคิดหนัก
เคยเข้าใกล้การสอบตกนั้นไหม
ต้องมีอยู่แล้วครับ เพราะผมห่างไกลจากการเป็นคนที่สมบูรณ์ในเรื่องนิสัยและการบริหารอารมณ์ หรือบางที ก็ในฐานะผู้ชายที่เอาแต่ใจใน อาจจะหวงเวลาส่วนตัวหรือขี้เกียจ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็น แต่อาจจะน้อยกว่าผม
การแต่งงานมีลูกเปลี่ยนแปลงตัวคุณมากแค่ไหน
การแต่งงานหรือมีลูกมันไม่เปลี่ยนตัวเราหรอก มันแค่เปลี่ยนจังหวะ เวลา และการจัดลำดับความสำคัญ ผมเองก็รู้จักคนที่มีลูกมีเมียแล้ว แต่เขาไม่ให้ความสำคัญกับหน้าที่พ่อหรือสามี ซึ่งถึงเขาจะไม่ยอมรับ แต่ผมเห็นว่าเขาเป็นคนมีทุกข์ มันอาจจะไม่เป็นทุกข์ตอนนี้ แต่วันหนึ่งมันก็จะตามมา นอกจากว่าเขาจะเป็นคนไร้คุณธรรมสิ้นดี
ได้ยินว่าคุณไม่อยากให้ลูกเข้าวงการบันเทิง เป็นเพราะอะไร
มันมีสิ่งที่ต้องแลกมากับพื้นที่ตรงนั้น แล้วเอาคืนกลับมาไม่ได้ ถ้าคุณเป็นคนดังไปแล้ว หากอยากเลิกดัง ทางเดียวก็คือเลิกประสบความสำเร็จในอาชีพ ซึ่งมันเป็นดีลที่ไม่มีใครอยากแลก ไม่อย่างนั้นก็ต้องปลีกวิเวกไปเลย อีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้เขาเข้าไปอะไรขนาดนั้นหรอก แต่แค่ไม่อยากให้ทิวทัศน์เขาแคบอยู่แค่นี้ เพราะจริงๆ โลกใบนี้ยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะแยะ ที่ตื่นเต้นกว่าวงการบันเทิงก็มีเต็มไปหมด
การอยู่ในวงการบันเทิงอย่างยาวนานสำหรับคุณมีด้านที่แย่มากกว่า?
ไม่มากกว่า งานมันไม่ได้ลำบากลำบน เงินมันก็ดี ความดังในเมืองไทยมันใช้ได้ ที่ประเทศอื่นอาจจะน่ากลัว แต่ที่นี่ ส่วนใหญ่เราก็ประสบกับความหวังดี เจอคนที่มีเจตนาดี แต่ข้อเสียของมันก็มี ซึ่งเรายอมรับไปนานแล้วแหละว่าคืออะไร ทำใจไปนานแล้ว พอบวกลบคูณหารแล้วก็พอใจกับเส้นทางที่เลือก มาถึงวันนี้ผมก็ได้ทำหลายอย่างที่อยากทำ และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากกว่าโชคร้าย
ณ ตอนนี้พอจะใช้คำว่า ‘เข้าใจชีวิต’ ได้หรือยัง
ผมเข้าใจชีวิตผมนะ แต่ไม่ได้เข้าใจชีวิตคนอื่นเท่าไหร่ มันเหมือนว่าทุกคนอยู่ในหนังคนละม้วน ทุกคนเป็นพระเอกนางเอกในหนังชีวประวัติของตัวเอง แล้วยังไงเราก็มองตัวเองเป็นตัวหลัก เลยยากที่จะเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว คนอื่นเขาทำอะไรไปเพื่ออะไร หรือทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ บางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับเงินทองอย่างเดียว มันอาจจะเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับพ่อแม่ หรือบางคนก็อาจจะไม่ได้คิดอะไรเยอะขนาดนั้น บางคนเกิดมาชีวิตลำบากลำบนทุกอย่าง แต่ก็ยังเป็นคนรื่นเริง ไม่คิดมาก บางคนชีวิตสบายมาตั้งแต่เด็ก กลับตกลายเป็นคนคิดมาก มีปัญหา มันเป็นไปได้หมด
คิดว่าอะไรที่หล่อหลอมให้คุณเป็นแบบนี้
คนที่แวดล้อมรอบตัว อย่างเช่นมุมมองเรื่องความสัมพันธ์ ถึงพ่อแม่ผมจะหย่าตั้งแต่เด็ก แต่คู่ต่อไปที่พบนี่อยู่กันยาวเลย ไม่มีเรื่องแตกแยกหรือเรื่องคนอื่นเข้ามาเลย เราไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้น เลยนึกไม่ออกเลยว่าเราจะเลิกกับคนสักคนด้วยเหตุผลง่ายๆ ได้ยังไง
โลกที่กว้างออกไปจากคำว่าครอบครัวล่ะ มีส่วนหล่อหลอมตัวคุณด้วยไหม
สิ่งแวดล้อมมีส่วน ที่เราคุยกันนี้ผมไม่ได้หมายถึงแต่ธรรมชาตินะ แต่มันรวมถึงสังคมมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแวดล้อมตัวเราด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตลอด ต้องเข้าใจและยอมรับ และมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลของคุณธรรม ความผิดหรือความถูกต้องอะไรเลย มันเปลี่ยนไปด้วยเหตุการณ์ของมันเอง สังคมมันเป็นสิ่งที่เป็นไปด้วยเจตนา จากนผลรวมของพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งในที่ที่หนึ่งโดยเฉลี่ย ผมไม่คิดว่าสังคมจะเป็นสิ่งที่ใส่บังเหียนเพื่อบังคับมันได้ ที่เราทำได้คือใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เมื่อมีชุดความคิดที่ว่าเราเปลี่ยนสังคมไม่ได้ ในยุคนี้คนส่วนใหญ่เลยไม่อยากมีลูก…
ก็อย่ามีสิ ผมจะไปบังคับให้ใครมีความหวังไม่ได้ แต่เอาเข้าจริง บางทีการมีลูกมันอาจกลายเป็นสิ่งที่เพิ่มความหวังให้คุณก็ได้นะ หลายคนชอบวิจารณ์ยุคสมัยที่เราอยู่กัน อย่างกับว่าเมื่อก่อนมันเคยดีกว่านี้ อย่างกับว่าอยากกลับไปอยู่ยุคอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผมรับรองเลยว่าคนยุคนี้ไม่อยากอยู่ยุคนั้นหรอก เผลอๆ ผมเองถ้าอยู่ยุคนั้นก็คงไม่รอดมาถึงทุกวันนี้ อาจตายไปด้วยโรคที่รักษาได้ง่ายมาก สงครามของยุคนั้นก็วุ่นวาย โหดร้ายเหมือนกัน คนสมัยนั้นก็อาจจะคิดเหมือนคุณก็ได้ว่าโลกตอนนั้นมันย่ำแย่ เราเลยต้องยอมรับว่าเราอยู่ที่ไหน ในโลกแห่งความเป็นจริง หากคุณไม่อยากมีส่วนร่วม ไม่อยากมีลูก ก็อยู่เหงาๆ ไป ไม่เห็นเป็นไรเลย ใครจะว่า
ในโลกความจริงที่เป็นแบบนี้ คุณเตรียมอะไรไว้เป็นภูมิคุ้มกันให้ลูกบ้าง
ผมจะไม่โกหกลูก ลูกถามอะไรผมก็จะตอบ แน่นอนว่าผมอยากให้ลูกเติบโตมาในสังคมที่ยอดเยี่ยม แต่ในเวลาเดียวกัน เราพูดเหมือนว่าสังคมในเมืองไทยมันมีแค่ชิ้นเดียวไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าเรามีบ่อหลายบ่อ ปลาบางตัวอาจถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ่อนี้ ปลาบางตัวอาจจะกระเสือกกระสนไปบ่ออื่นได้ แต่เราจะไปบังคับให้คนอื่นทำตัวเหมือนในบ่อที่เราอยู่ไม่ได้ ผมเลยมีปัญหากับความคิดแบบคอมมิวนิสต์ มันไม่ได้มีสูตรอะไรที่จะมาบังคับให้ทุกคนในสังคมทำเหมือนกัน คนเราเกิดมาแค่ระดับดีเอ็นเอก็ไม่เหมือนกันแล้ว ลูกผมเองก็ต้องรับรู้และยอมรับ
คุณเองเกิดมาในบ่อที่อาจจะต่างจากคนอื่น แล้วคุณเข้าใจบ่ออื่นๆ ได้ยังไง
ผมไปเยี่ยม เพราะผมไม่ได้เห็นว่าที่อื่นน่ารังเกียจหรือน่ากลัว ที่ผมแยกคนเป็นบ่อๆ ไม่ได้หมายความว่าบ่อไหนดีหรือแย่กว่ากันนะ ผมเองก็เจอคนที่เกิดมาในสังคมเดียวกับผม ที่ใช้ไม่ได้ ไม่อยากคบ เบื่อที่จะเจอ ผมจึงต้องไปที่อื่นๆ ไปหาคนจากสังคมอื่นๆ เพราะผมรู้ว่าสังคมที่ผมโตมา มันแคบ เหลิง น่าเบื่อ
เริ่มคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก็นานแล้ว มันมาจากแม่ผมนั่นแหละ แม่เป็นคนคล้ายๆ ผม ที่ไม่เห็นว่าตัวเองต้องอยู่กับกลุ่มนี้หรือกลุ่มไหน อีกส่วนหนึ่งผมก็ได้มาจากพ่อด้วย พ่อผมเป็นตัวเถียง ใครพูดอะไรขึ้นมา ถ้าเขาเห็นต่าง เขาจะพูดออกมาทันที เขาเลยเป็นคนที่คนกินข้าวด้วยรับไม่ค่อยได้ ผมเองก็ติดนิสัยมาเหมือนกัน ใครบอกให้ทำอะไรปุ๊บ สัญชาตญาณผมจะบอกว่าไม่ เหมือนตะกี้ที่ถ่ายรูป เขาบอกให้ยิ้ม ผมก็บอกว่า ไม่ ซึ่งผมไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นนะ แต่มันเป็นสันดาน มันคงเป็นเรื่องที่น่ารำคาญสำหรับแฟนผมพอสมควรนะ แต่เขาเป็นคนมีความอดทนสูงมากๆ
มีสัญชาตญาณที่จะทำตามใจตัวเองกับทุกเรื่องไหม
ไม่นะ เพราะถึงบางอย่างผมยังไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำตาม แต่เรื่องกฎหมายมันคนละเรื่อง อย่างน้อยเราก็ต้องทำตัวให้ดูเหมือนตามกฏหมาย ส่วนในเรื่องของความคิด จริต หรือรสนิยม มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องตามใคร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว หรืออย่างประเด็นปัญหาในสังคมก็ตามที่เขาอาจจะคิดว่าไม่ควรพูดกัน ถ้าผมรู้และคิดว่าต้องพูด ผมก็พูด แต่อาจจะเป็นเพราะผมมาจากกลุ่มคนที่ค่อนข้างปลอดภัยในสังคมนี้ก็ได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในสังคมที่พัฒนา เรื่องพวกนี้ทุกคนจะปลอดภัย
แสดงว่าบ้านเรายังไม่พัฒนา?
ใช่ ความด้อยพัฒนาของบ้านเราคือบางคนติดคุก บางคนไม่ติดคุก ไม่ว่าจะกรณีอะไรก็ตาม ไม่ต้องเรื่องการเมืองหรอก แค่คดีง่ายๆ แบบขับรถชนคนตาย มันแล้วแต่เลยว่าคุณเป็นใคร ถ้าคุณเป็นคนจนคุณก็ติดคุก ถ้าคุณไม่จนก็ไม่ติด นั่นคือแกนหลักของปัญหาทั้งหมดในเมืองไทย มันไม่ได้ป็นเรื่องการเมืองหรืออุดมการณ์ มากเท่าเรื่องบทบาทของกฏหมายในบ้านเรา ความสัมพันธ์ของคนกับกฎหมายมันเป็นรากเหง้าของปัญหา
บทบาทของกฎหมายที่ล้มเหลวคือสิ่งที่อยากแก้ไขเป็นข้อต้นๆ ในประเทศไทยเลยหรือเปล่า
ใช่ นี่คือปัญหาหลัก เรื่องอื่นๆ นี่เป็นผักชีมาก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมของมารยาทและการประนีประนอม แต่มันไม่มีที่ของกฎหมายอยู่ในนั้น มันเลยต้องแก้ข้อนี้ ถ้าจริงใจนะ ซึ่งผมแอบคิดว่าคนที่อยู่ในวงการการเมืองไม่ได้จริงใจ เพราะเขากำลังเล่นเกมกัน เริ่มต้น บางคนเขาอาจอยากได้อำนาจเพราะจะได้ใช้อำนาจนั้นไปปรับในสิ่งที่เขาไม่พอใจ ไปพัฒนาในสิ่งที่เขาคิดว่าควรพัฒนา แต่พอได้อำนาจปุ๊บ อำนาจเป็นของมึนเมา พอเมาแล้วการรักษาอำนาจเลยกลายเป็นประเด็นหลัก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่หลุดยาก และถึงจะน่าประนามคนที่เป็นแบบนี้ แต่เขาก็น่าเห็นใจนะ เขาเหนื่อย และไม่รู้ว่ากำลังติดอยู่ในน้ำวนที่เขาลงไปเอง ให้ตายเขาก็ออกมาไม่ได้
สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำวนของนักการเมืองอย่างช่วยไม่ได้ ควรทำตัวอย่างไร
ผมไม่รู้นะ ผมไม่ได้มีความคิดว่าใครควรทำตัวยังไง แต่ถ้าจะให้ผมพูด ผมก็ไม่คิดว่าเขาจะฟัง เพราะผมรู้สึกว่าแต่ละคนตัดสินใจแล้วว่าอยากให้อะไรเกิดขึ้น บางทีที่คนไปประท้วงหรือไปเลือกตั้ง นั่นเพราะเขาเลือกแล้วว่าเห็นอะไรสำคัญ หรือบางคนพูดอย่างหนึ่งแต่คิดอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะบอกว่าต่อต้านรัฐธรรมนูญชุดนี้ แต่ลึกๆ ในใจอาจแอบโล่งอกว่ามันผ่านไปด้วยดี ผมอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้ เพราะผมก็ vote no พอมันผ่าน ผมก็ไม่ได้ดีใจนะ แต่เสี้ยวหนึ่งก็โล่งอกที่อย่างน้อยไม่มีใครไปแหย่สิงโตให้โมโห ในจุดหนึ่งมันก็คงนิ่งๆ ไปได้พักหนึ่ง บางทีมันก็เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมาก
คิดว่าเส้นแบ่งที่เคยชัดเจนมากๆ มันเลือนลงหรือยัง
มันยังมีอยู่ และถ้าผมจะบอกนะ สำหรับฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายแดง เขาต้องเข้าใจ ซึ่งเขาก็อาจจะเข้าใจแล้วแหละ ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องได้รับความยุติธรรมภายใต้กฏหมาย และเขาเองต้องแบรนด์ตัวเองเป็นพรรคเพื่อคนใช้แรงงาน คนทำงาน จะเรียกว่าคนอีสานคนเหนือก็ได้ และนั่นคือแกนหลักของคุณ ไม่ใช่วีรบุรุษจากตระกูลไหน ต้องเป็นความต้องการของกลุ่มคนที่มีอยู่จริงๆ และก็เป็นเรื่องเดียวกันสำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ต้องเข้าใจว่ามันมีกลุ่มคนที่ไม่ได้ความยุติธรรมในประเทศนี้จริงๆ จะมาทำเป็นว่าเขาไม่มีอยู่จริงไม่ได้ และเขาก็มีเหตุผลที่จะไม่ไว้ใจกลุ่มคนที่เขาเรียกว่าอำมาตย์ จะบอกว่าไม่อยากใช้คำนี้ มันเป็นไปไม่ได้ บ้านเรามีอำมาตย์ (เน้นเสียง) บ้านเราเป็นสังคมที่แบ่งชนชั้นวรรณะ มีระบบศักดินา นี่เป็นเรื่องจริง จะดีหรือไม่ดีเราเถียงกันได้ แต่อย่ามาปฏิเสธว่ามันไม่จริง และถ้าฝ่ายเหลืองหรืออนุรักษ์นิยมอยากให้ทุกอย่างอยู่เหมือนเดิม ผมอยากบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับว่ามันจะเกิดขึ้น และไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากใคร มันเป็นเรื่องของสังคมที่ต้องเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ไม่ได้ดีหรือร้าย มันแค่เป็นความจริง
เรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างแล้วไม่ยอมลงให้กันสักที
ผมรู้สึกว่าที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายเนี่ยเวลาเจอสี่แยก เขาจะเลี้ยวผิดทางทุกที แล้วไปกันคนละทางเหมือนแมนยูฯ กับลิเวอร์พูล ทั้งที่เราควรหาทางที่พอจะไปด้วยกันได้ แต่ไม่รู้นะ ผมว่าทุกวันนี้พรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยน่าจะใกล้ชิดกันกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในบางมุมมอง ซึ่งก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้ ว่าพรรคการเมืองเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ ว่า ณ วันนี้เขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน คือฝ่ายที่ถูกแทะเล็มเอาอำนาจออกไปจากตัวเอง แต่มันก็คือพวกเขาเองนั่นแหละ ที่พาเรามาถึงจุดนี้ ที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักเล่นเกมตามกฎหมาย แต่ดันเอาข้อกฎหมายมาอ้างกัน
ดูเหมือนว่าคนไทยจำนวนหนึ่งกำลังนิ่งนอน หรือพอใจกับสภาวะแบบนี้
ผมเข้าใจได้ที่จะมีคนพอใจกับสภาวะแบบนี้ ก็คือสภาวะที่มีมือที่สามจากระบบปกติ ซึ่งจริงๆ สิ่งนี้มันปกตินะ ผมว่า 10 ที่ผ่านมานั่นแหละคือช่วงเวลาที่ประหลาด ตอนนี้มันปกติแต่ไม่ได้บอกว่ามันดีนะ เพียงแต่มันคือการกลับไปสู่ธรรมชาติของประเทศไทยในศตวรรษที่ 20 ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในศตวรรษนั้นก็ตาม แต่เรายังคุ้นเคย เหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่กับแฟนที่ยังอัดเขาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ยอมเลิก เพราะในที่สุดแล้วเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เรา—ประชาชนเนี่ย ก็เหมือนแฟนที่ถูกซ้อม แต่ยังเลิกกับผัวไม่ได้ รับไม่ได้ที่จะออกไปยืนอยู่คนเดียว นอกเหนือการครอบครองของผัวสุดที่รัก
แล้วถ้าจะพูดถึงคำว่า Utopia…
อันตราย (ตอบทันที) ยูโทเปียเนี่ย เราจะไปถึงมันได้ก็ต่อเมื่อต้องข้ามทะเลเลือดเท่านั้น มันมีคนพยายามลองมาหลายครั้งแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะคนเราไม่สามารถถูกบังคับขนาดนั้นได้ เพราะยูโทเปียที่สมบูรณ์มันก็เหมือนสวนญี่ปุ่น มันต้องบังคับต้นบอนไซ ต้องทรมาน ต้องดัด ต้องตัดกิ่งมัน ให้เป็นไปในแบบที่คุณอยากให้เป็น ปล่อยให้มันโตตามธรรมชาติมันก็จะไม่ใช่แบบที่คุณอยากให้เป็น แล้วประชาชนไม่ใช่หญ้า ไม่ใช่ผักพืชหรือต้นไม้ที่จะมาตอนหรือเล็ม เราต้องยอมรับว่ามนุษย์น่ะเลอะเทอะโดยธรรมชาติ
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างแท้จริง คุณให้เวลากับมันนานแค่ไหน
ต้องให้เวลามากๆ เพราะการปฏิวัติที่แท้จริง มันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีผ่านงานศพของคนรุ่นหนึ่งทั้งรุ่นเท่านั้น นั่นถึงจะเป็นการปฏิวัติที่แท้จริง มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในค่ำคืนเดียว หรือในปีเดียว แม้แต่คำว่าปฏิรูปก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ มันจะเกิดขึ้นเมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เคยถืออำนาจไม่ค่อยเหลือแล้ว แล้วมีคนรุ่นใหม่เข้ามา แล้วเราก็แค่หวังว่ารุ่นใหม่จะไม่แย่กว่ารุ่นเก่าแค่นั้นเอง และถ้าจะไม่พูดเรื่องกฎหมาย ก็ต้องพูดเรื่องนิสัย ผมมีเพลงหนึ่งในอัลบั้มชุดที่ใกล้จะเสร็จแล้วนี้ ชื่อเพลง ‘แพ้ให้เป็น’ เพราะผมรู้สึกว่าคนไทยแพ้ไม่เป็น ซึ่งนี่คือสิ่งที่คนอังกฤษเก่งมาก เขารู้จักแพ้ และเข้าใจว่าการแพ้ไม่ใช่โลกแตก เดี๋ยวเราก็ได้เริ่มใหม่ อย่างกรณีของ Winston Churchill ผู้นำอังกฤษที่โด่งดังที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามจบปุ๊บ มีการเลือกตั้ง เขาก็แพ้ทันที ทั้งที่เขาเป็นฮีโร่ที่พิทักษ์เกาะน้อยๆ นี้จากเยอรมัน แต่แล้วเขาก็กลับมาเลือกตั้งอีก แล้วก็ชนะ เพราะงั้น แพ้แล้วก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยอมแพ้กันซะบ้าง ทั้งสองฝ่ายเลย
สำหรับคุณ การพ่ายแพ้มีข้อดีอย่างไร
มันมีประโยชน์มากกว่าการชนะ เพราะการชนะมันไม่ได้สอนเราเท่าไหร่ เวลาที่ผมรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ ผมได้มันปุ๊บ ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะลึกๆ มันยังอาจมีบางอย่างที่เราไม่รู้หรือยังไม่อยากยอมรับว่ามันได้พาเรามาถึงจุดนี้ ในขณะที่การแพ้แต่ละครั้งมันมีบทเรียนและสัจธรรมที่ชัดเจนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เต็มไปหมด
ดูเหมือนคุณไม่ค่อยยี่หระกับปัญหาสักเท่าไหร่ แล้วเรื่องที่จัดการยากที่สุดในชีวิตคืออะไร
มันคือเรื่องการแยกแยะแต่ละบทบาทที่เรามีอยู่ในตัว เพราะคนที่เราอยากเป็น มักจะขัดแย้งกับคนที่เราควรเป็น และก็ขัดแย้งกับคนที่เราเป็นจริงๆ สามอย่างนี้มันเป็นสิ่งเดียวที่เราต้องต่อสู้ เรื่องปากท้องหรือความเป็นอยู่ น่าจะมีคนอื่นที่น่าชื่นชมและมีมุมมองน่าสนใจมากกว่าผมเยอะ ดังนั้นการก่อสงครามใหญ่ที่สุดของผมมันก็อยู่ในใจผมเอง ทุกวันนี้ผมก็ยังคงดีลกับมันอยู่
บทสัมภาษณ์โดย ฉัตรรวี เสนธนิสศักดิ์ จากคอลัมน์ face – giraffe magazine issue 45 Better World