เพลงบางเพลง เมื่อฟังแล้วมันจะอยู่กับเราทั้งชีวิต หากเปรียบเรื่องราวของพวกเราเป็นภาพยนต์ขนาดยาวเรื่องหนึ่ง แต่ละช่วงวัยก็น่าจะมีเพลงที่เป็น ซาวด์แทร็กประจำเวลานั้นกันอยู่บ้าง
ในช่วงหนึ่งเราอาจอินกับการหลงรัก หรือบางครา ก็อาจต้องการเพลงเป็นเพื่อนคอยปลอบใจ
เราแอบเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า เพลงจากวง ฟรายเดย์ (FRIDAY) น่าจะเคยเข้ามาอยู่ในช่วงชีวิตหนึ่งของใครหลายคน แม้ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว แต่เมื่ออินโทรหรือท่อนฮุกดังขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะร้องตามเพลงนั้นได้เสมอ
จากอัลบั้มแรกเมื่อปี 2540 พวกเขาสามคน บอย—ตรัย ภูมิรัตน ดุลย์—อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ และ หนึ่ง—เกรียงไกร วงษ์วานิช ได้ฝากผลงานเพลงไว้ในวงการเพลงไทยมากมาย จนมาถึงวันนี้ที่ฟรายเดย์กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งในโอกาสที่วงครบรอบ 22 ปี
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เป็นทั้งวลีและชื่อเพลงใหม่ ที่พวกเขาอยากบอกกับผู้ฟังทุกคนที่ติดตามกันมาจนถึงวันนี้
เพลงยินดีที่ได้รู้จักมันมีที่มายังไง
บอย : ในตอนแรก มันเป็นเพลงนี้ไม่ได้แต่งมาสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ แต่เราส่งเพลงให้ฟังกันระหว่างทำอัลบั้มชุดใหม่ พวกเราก็พบว่าความหมายของเพลงมันเหมาะกับการทำคอนเสิร์ตนี้เหมือนกันนะ เพราะเรารู้จักคนฟังมา 22 ปีแล้ว เหมือนร้านอาหารที่อยากจะขอบคุณลูกค้าสักครั้งหนึ่ง เรารู้สึกยินดีที่ได้รู้จัก มันไม่ใชประโยคแรกที่เจอกัน แต่เป็นประโยคของคนที่รู้จักกันมานานแล้ว
ได้ยินมาว่าฟรายเดย์มีกรุ๊ปลับที่ไว้คุยกับคนฟังด้วย
ดุลย์ : จริงๆ มันก็เหมือนบาร์ลับนะ (หัวเราะ)
บอย : ไม่ใช่สิ มันเป็นกลุ่มไว้สำหรับคนที่อยากดูคอนเสิร์ตนี้ เราจะได้สื่อสารกับเขาโดยตรง เวลามีข้อมูลอะไร เขามาสามารถมาดูที่กรุ๊ปนี้ได้เลยไม่ต้องไม่หาจากที่อื่น
คุยเรื่องอะไรกันข้างในนั้น
บอย : ก็แค่เล่าบรรยากาศเก่าๆ ชวนคุยเรื่องนินทากันเอง
ดุลย์ : เพื่อที่จะบิ้วท์อารมณ์คนที่อยากไปคอนเสิร์ตนั่นแหละครับ
คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายของวงก็คือเจ็ดปีที่แล้ว อยากรู้ว่าทำไมพี่ๆ ถึงกลับมารวมกันทำคอนเสิร์ตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
หนึ่ง : จริงๆ แล้วพวกเราไม่ได้หายไปนะ ก็ยังรวมตัวกันอยู่เรื่อยๆ ตามโอกาสต่างๆ อยู่ตลอด ตามจังหวะเวลา แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ เพราะเราอยากกลับมาเจอเพื่อนๆ และคนฟังเพลงกัน
บอย : เราอยากจัดตั้งแต่ตอนที่วงครบรอบ 20 ปีแล้ว
หนึ่ง : แต่ก็เถลไถลกันไปเรื่อย (หัวเราะ)
ตอนนี้ฟรายเดย์ก็อายุ 22 ปีแล้ว ถ้าเทียบเป็นคนๆ หนึ่ง คิดว่าฟรายเดย์จะเป็นเพื่อนแบบไหนให้กับคนฟังเพลง
หนึ่ง : ผมคิดว่าฟรายเดย์น่าจะเป็นคนตัวเล็กๆ ในห้อง ฟรายเดย์เป็นเพื่อนตัวเล็กๆ ที่คุยกันในห้อง ไม่ใช่เด่นอะไร เราเป็นเพื่อนกับทุกคน
บอย : เป็นเพื่อนที่แบบ ‘แล้วแต่มึงอะ’ (หัวเราะ)
ดุลย์ : เราเปรียบเทียบว่าฟรายเดย์เป็นเหมือนเสียงในหัว เป็นเสียงเพื่อนให้กับทุกคนที่หาคำตอบให้กับชีวิตไม่เจอ
อยากรู้ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ไปทำอะไรกันบ้าง
บอย : เราก็ทำดนตรีเหมือนเดิม อาชีพหลักก็คือทำเพลง มีรับเป็นอาจารย์บ้างประปราย เป็นกรรมการประกวดร้องเพลงบ้าง
ดุลย์ : ผมทำซิงเกิลเดี่ยว ดูแลธุรกิจที่บ้าน อัดกีต้าร์ให้คนนู้นคนนี้บ้าง
หนึ่ง : ผมไปอยู่เชียงใหม่ไปทำฟาร์มของตัวเอง แล้วก็ทำเพลงด้วย
บอย : ถ้ามีงานวงเราก็รับเรื่อยๆ ถึงแม้เราไม่ได้แอคทีพเท่าเมื่อก่อน ด้านหลังเราก็ยังแต่งเพลงกันอยู่ ส่งเพลงให้ฟังกันเรื่อยๆ
ช่วงหลังๆ นี้ได้กลับไปฟังเพลงเก่าๆ ของวงกันบ้างไหม
ดุลย์ : ก็ตอนที่ต้องทำคอนเสิร์ตนี้แหละ เรากลับไปฟังเพลงตั้งแต่ชุดแรกเลย มันก็รับได้บ้างไม่ได้บ้าง (หัวเราะ) ในชุดแรกเราไม่ได้เป็นนักดนตรีที่เก่ง เพราะเราหัดกันมาเองหมดเลย ยังหาตัวเองไม่เจอ อะไรทำนองนั้น
บอย : ส่วนผมฟังเพลงชุดแรกของตัวเองไม่ได้เลย ฟังทีไรก็สงสัยว่าทำไมเพลงโบราณจัง การทำเพลงชุดแรกเหมือนเข้าโรงเรียนทุกอย่างเลย คือต้องฝึกร้อง ฝึกเข้าห้องอัด
ดุลย์ : ต้องเขียนเพลงเพื่อเอาไปส่งให้คณะกรรมการฟังว่า ผ่านรึยึง เพลงที่เราทำมันเหมาะกับการเป็นเพลงเบอร์หนึ่งสำหรับอัลบั้มนั้นรึยัง
ย้อนไปฟังถึงอัลบั้นชุดแรกเลยรึเปล่า
ดุลย์ : ชุดหนึ่งก็มีเพลงที่ดีนะ มีเพลงที่มีความหมายก็มี แต่ก็มีเพลงที่ไม่กล้ากลับไปฟังเหมือนที่บอยบอกด้วยเหมือนกัน
หนึ่ง : คือเป็นฟังแล้วอยากเตะคนพวกนี้ (หัวเราะ)
อยากถามกลับไปถึงในยุคนั้นช่วงแถวๆ ปี 2540 นั้น กระบวนการทำเพลงจนทำให้มันดังและคนร้องตามได้ มันยากแค่ไหนบ้าง
ดุลย์ : ยากเสมอนะ ทุกวันนี้ก็ยาก ตอนนั้นมันเป็นยุคที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟกำลังเบ่งบาน เริ่มที่จะเป็นยุคที่รุ่งเรืองของอินดี้ ซึ่งฟรายเดย์ไม่ได้มาเพื่อโต้คลื่นนั้นเลยอะ
บอย : เหมือนกับเขากำลังโต้คลื่นกัน แต่พวกเราเป็นแค่เด็กที่ขุดทรายเล่นทรายกันอยู่ริมหาดแทน
หนึ่ง : มันยากที่ตอนนั้นพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ
ดุลย์ : ผมคิดว่าเราเข้าใจตัวเองในระดับหนึ่งนะ ว่าอะไรที่เราทำไม่ได้และไม่อยากทำ
หนึ่ง : ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือ เราเริ่มต้นจากศูนย์แล้วก็เรียนรู้กันใหม่หมด เราหาตัวเองเจอว่าฟรายเดย์สามคนนี้ควรจะเป็นอะไร แล้วเราก็เป็นอย่างนี้มาตลอดเลย
บอย : แล้วพวกเราค่อยๆ เจอทางที่พวกเราอยากไปตอนที่นั่งฟังเพลงด้วยกัน นั่งทำงานด้วยกัน
เคยได้ยินมาว่าตอนอัลบั้มชุดแรก พวกพี่ๆ ต้องเจอกับเรื่องราวอะไรเยอะมากตอนไปโปรโมทเพลง
ดุลย์ : ใช่ๆ ชุดแรกมันมีการทัวร์อยู่ 4-5 ครั้ง ตอนไปเล่นสดก็ไม่ค่อยมีคนฟัง ไปเล่นในลานสเก็ต คนก็เล่นสเก็ตไปไม่มีใครมาดู เราก็เล่นให้จบแล้วรีบกลับบ้าน
บอย : สำหรับเรานะ ตอนนั้นรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะจบเพลงสักที คือเราอยากจะลงแล้ว ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเหลี่ยมของพวกเราว่าควรไปอยู่ตรงไหนดี เราขึ้นไปเล่นให้มีความสุขไม่ได้
ดุลย์ : พอเจออย่างนั้นบ่อยๆ ผ่านไป 4-5 ครั้งก็ท้อ ท้อแล้วก็เลิกวงไปช่วงนึงเลย หลังจากชุดแรกก็เลิกเลย ขายเทปได้สองหมื่นตลับก็แยกย้าย จนมาถึงชุดที่สองก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แล้วชุดที่สอง พี่ๆ กลับมาในมุมมองการทำเพลงแบบไหน
บอย : เรากลับมาทำเพลงในแบบที่พวกเราถนัดจริงๆ แล้วก็หวังว่าคนจะชอบ มันอาจจะเทียบกับเพลงสายอัลเทอร์เนทีฟ แต่ก็เริ่มพูดคุยภาษาเดียวกับคนยุคนั้นแล้ว
เรียนรู้อะไรจากในอัลบั้มแรกบ้าง
ดุลย์ : แน่นอนเลยความผิดหวังมันก็เป็นครูเราได้
บอย : พอมาชุดสอง เราตั้งต้นไว้เลยว่าอยากทำอะไรก็ทำ ทำที่อยากทำ เพราะไม่มีใครห้ามเราแล้ว
พอมาถึงชุดที่สอง ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น
บอย : ตอนแรกเราคิดว่าจะไม่ได้ทำต่อแล้วด้วยนะ เพราะทุกคนกระจัดกระจาย ผมไปอยู่เบเกอรี่มิวสิค ทำค่ายเล็กๆ ของตัวเอง ทำจนจะเจ๊ง จนเหลือทำเพลงสำหรับวง 2 Days Ago Kids ได้อีกชุดนึง ปรากฎว่ามันเวิร์คจนมีคอนเสิร์ตใหญ่ ซึ่งคอนเสิร์ตนั้นฟรายเดย์ก็ได้กลับมาเล่นคอนเสิร์ตพร้อมกันอีกครั้ง
การไปเล่นคอนเสิร์ตนั้น ทำให้เราเห็นว่าคนดูยังจำวงฟรายเดย์ได้อยู่ พวกเราเลยมาคุยกันว่ามาทำเพลงชุดที่สองต่อกันดีไหม
แล้วกระบวนการทำเพลงเหมือนชุดแรกไหม
บอย : ไม่เลย ตอนนั้นเราไม่มีกฎเกณฑ์อะไรแล้ว เราทำงานแบบกองโจรมา เราเช่าบ้านอยู่ บางทีอัดเพลงก็เอาเตียงมากั้นแล้วอัดเสียงกันแบบง่ายๆ เลย
หนึ่ง : ผมยังจำได้อยู่ถึงตอนนี้เลย เอาผ้าห่มมาคลุมตอนร้อง ปิดแอร์ในห้องเพื่อไม่ให้เสียงมันดังเกินไป มีทุกอย่างเลย
บอย : แล้วไม่มีกฎเดิมๆ ด้วยว่าเพลงเร็วต้องมีเพลงเร็วเบอร์หนึ่ง หรือเพลงช้าเบอร์หนึ่ง ไม่มีอะไรเลย
หนึ่ง : ชุดแรกมันยังอยู่ในระบบธุรกิจเพลงมากๆ ต่างไปจากชุดที่สอง
พอชุดที่สองมันสำเร็จมากๆ อย่างที่เรารู้กัน หลังจากนั้นมีความรู้สึกเหลิงกับความดังที่เข้ามากันบ้างไหม
หนึ่ง : ไม่เคยรู้สึกเลย
บอย : ไม่มีเลย มีแต่ความไม่มั่นใจ ไม่รู้จะเอาอะไรมามั่นใจ (หัวเราะ)
ดุลย์ : ไม่รู้สึกว่าดังเลยนะ คืออยากรู้สึกมาก (หัวเราะเสียงดัง) เราสามคนนี้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นนักดนตรีมืออาชีพที่เก่งอะไรขนาดนั้น
บอย : ไม่ได้เป็นคนหน้าตาดี ไม่ได้เอนเตอร์เทน เป็นคุณสมบัติแบบกลางๆ ไปหมด คือพวกเราจะเป็นตัวละครแบบเพื่อนพระเอกตลอด
ดุลย์ : ใช่ๆ ฟรายเดย์นี่แหละคือเป็นเพื่อนพระเอกเลย
คิดว่าการมีเพื่อนพระเอกแบบนี้ในชีวิต เขาจะช่วยอะไรเราได้บ้าง
ดุลย์ : มันอยู่ที่ว่าใครจะมองให้ใครเป็นเพื่อนพระเอก ในมุมมองของคนที่สาม เขาอาจจะเห็นคุณค่าก็ได้นะว่า เขายังทำอย่างนี้ต่อไปได้ยังไง เพราะอีกฝ่ายมองแต่พระเอกเสมอๆ ไม่ได้มองเพื่อนพระเอกเลย
แล้วพวกพี่ชอบการเป็นเพื่อนพระเอกไหม
หนึ่ง : ผมรู้สึกว่าเพื่อนพระเอกมีความเป็นธรรมชาติสูงกว่า
บอย : เอาจริงๆ เราไม่เคยชอบพระเอกอยู่แล้วด้วยนะ คือเพื่อนพระเอกเท่กว่าเสมอ ยกตัวอย่างในขบวนการโกกุลไฟว์ (Dai Sentai Goggle-V) ตัวสีดำย่อมเท่กว่าสีแดงแน่นอน หรือที่เราคิดว่าแบทแมนมักจะเท่กว่าซูเปอร์แมน
ดุลย์ : คนนี้เขาสายลึก (หัวเราะ)
บอย : หรืออย่างในการ์ตูนเรื่องหุ่นยนต์เก็ตเตอร์ (Getter Robo) เราก็จะไม่ชอบเบอร์หนึ่ง แต่เราจะชอบ จิน ฮายาโตะ ที่พูดน้อยๆ แต่เท่
ฟังแล้วดูเศร้าเหมือนกันนะครับ
บอย : ไม่นะ คือถ้าเศร้าจะไม่มีคนมาปรึกษาเรา แล้วเราก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปเป็นบทบาทพระเอกเลย ไม่เคยคิดเลย เพราะการเป็นเพื่อนพระเอกก็มีความสุขดีนะ เพราะไม่ต้องแบกรับสถานการณ์ที่ไฟส่องที่ตัวเราคนเดียว
ดุลย์ : ประเด็นนี้ผมคิดว่า ในวันนึงเพื่อนพระเอกก็อาจจะขยับเป็นพระเอกในวันนึงก็ได้ จริงไหมล่ะ
บอย : ไม่จริง! คือถ้าเราอยู่บนเวทีกับ นภ พรชำนิ เราก็จะเป็นเพื่อนพระเอกตลอดกาลไง (หัวเราะ)
ดุลย์ : แต่หนึ่งนี่มีความเป็นพระเอกอยู่ในตัวเลยนะ
หนึ่ง : ไม่ครับ ผมมีความเป็นตัวร้ายอยู่
เห็นพวกพี่คุยกันสนุกอย่างนี้ เลยอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้พี่ๆ ยังทำวงกันมาจนถึงวันนี้
ดุลย์ : ตอบแบบง่ายๆ เลยนะ คือทำแล้วมันสนุก พอได้เล่น ได้ร้องบางอย่างไปแล้วเกิดความสุขจากคนฟัง จากคนรอบข้าง มันเป็นความสุขที่เราได้รับมา
หนึ่ง : วงเราไม่ได้เป็นวงดนตรีที่เป็นแยกชิ้นอย่างเดียว แต่เราเป็นคนทำเพลง มีความสุขที่ได้ฟังเพลงที่เราทำเองบ้าง ได้ฟังเพลงที่เพื่อนทำบ้าง มันเหมือนความสุขที่ได้ทำกับข้าวอยู่เรื่อยๆ ถ้าผมตีกลองอย่างเดียว เราก็อาจจะไม่มีความสุขอย่างนั้นด้วยก็ได้
บอย : ฟรายเดย์ผ่านเรื่องราวมาเยอะ ทั้งเลิกวง พักวง กลับมาทำวงใหม่ ทุกครั้งที่เรากระจัดกระจาย มันจะมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวพวกเราไว้คือดนตรี มันเป็นที่ปลอดภัยของเรา เราคุยกันด้วยเพลงที่เราทำนี่แหละ
ความสุขในการทำเพลงของวงฟรายเดย์คืออะไร
บอย : เรารู้สึกว่าสามารถช่วยต่อกับผู้คนได้ มันเป็นความปิติตรงนี้ เมื่อไหร่ที่เราร้องเพลงแล้วคนร้องตามได้ มันฟินที่สุดแล้ว มันเหมือนเราได้คอนเนคกัน จริงๆ เพลงคือสิ่งที่พวกเราคิด แต่เมื่อมันส่งออกไปแล้วมีคนคิดเหมือนกับเรา มันก็เป็นความสุขแล้วนะ
หนึ่ง : เรามีความสุขตอนที่เราเล่นเพลงแล้วมีคนร้องตาม รู้สึกว่าเราสามารถสื่อสารกับเขาได้ขนาดนี้เลยเหรอ
คือมีความรู้สึกนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนั้นว่าอะไร
ดุลย์ : ใช่ๆ เหมือนมันเกิดช่องว่างที่ไม่มีคำตอบ ฟรายเดย์อาจจะเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่แม้จะไม่มีคำตอบให้แต่เราก็เข้าใจความรู้สึกนั้นของคุณนะ นั่งไปเป็นเพื่อนด้วยกัน
แล้วคิดว่าเพลงกับดนตรีมันเป็นเพื่อนให้กับเราได้ยังไงบ้าง
บอย : ผมรู้สึกว่าเพลงมันเป็นสิ่งที่พูดกับคน เขาเอาเรื่องนี้ไปใช้กับตัวเองได้ สมมติว่าผมอยากจะปลอบเพื่อนที่เศร้าอยู่ เราแต่งเพลงให้ เขาก็จะเอาเพลงนี้ไปปลอบตัวเอง บางทีเราพูดกับเขายังไงมันก็ไม่เข้าถึงเขาหรอก แต่เพลงมันเข้าไปถึงเขาได้ลึกกว่านั้น เพราะเขาร้องมันและได้ยินมันด้วยตัวเอง
ดุลย์ : เมื่อฟรายเดย์มีเพลงออกไปให้คนได้ฟัง ไม่ว่าคนฟังจะเศร้าหรือมีความสุข เขาก็จะใช้เพลงนั้นไปประกอบเป็นซาวด์แทร็กให้กับช่วงชีวิตของเขา เขาจะมีความเป็นเจ้าของของเพลงนั้นในโลกของเขาเอง แล้วมันก็จะกลายเป็นของส่วนตัวของเขาเสมอ ไม่ใช่เพลงของฟรายเดย์อีกต่อไป มันจะกลายเป็นเรื่องราวของเขาเอง
หนึ่ง : ผมคิดว่าเพลงมันเป็นเรื่องมหัศจรรย์นะ เพราะมันสามารถปักหมุดเวลาให้กับเราด้วย เช่น เวลาเราฟังเพลงนี้ ภาพมันก็ขึ้นมาในหัวเลย
มองภาพของวงฟรายเดย์ในอนาคตไว้ยังไงบ้าง หลังจากผ่านพ้นปีที่ 22 ไปแล้ว
บอย : วันสุดท้ายที่ยังเล่นกันอยู่ ถ้าไม่ได้เล่นต่อไปแล้ว มันจะเพราะอะไรวะ (หันไปถามคนอื่นๆ)
ดุลย์ : ถ้าจะเล่นไม่ได้ ก็คงเพราะอยู่ในสภาพให้น้ำเกลือแล้ว คือเราทำวงมาได้ขนาดนี้ ก็แปลว่าเราอยากทำไปให้นานที่สุด ในกรุ๊ปลับเราก็มีคนฟังบอกว่า เพลงของวงนี้ช่วยให้เขาพบคนรักได้ เราก็รู้สึกว่า เพลงๆ นึงมันมีผลกับคนได้แบบนี้ มันเป็นใหญ่หลวงนะ
หนึ่ง : พวกเรามีวงเดียวในชีวิต มันก็ไม่ต้องบอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง ถ้าว่างก็ทำ ไม่ว่าก็ไม่ทำ
บอย : สำหรับเราแล้ว เราทำตรงนี้ถึงเมื่อไหร่ก็ได้
Photo by Nutcha Charoennithi